Attention!

อ่านก่อนนะ >> "กาลามสูตร" -- จะได้มีสติระวัง ไม่เผลอพลั้งหลงป่าเวลาอ่านบล็อกนี้ (^_^)

Thursday, January 28, 2016

หายใจลึกๆ เมื่อนึกได้


󾁃ความลับของลมหายใจ....

   หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้นั่งสมาธิ อย่างสม่ำเสมอมีใบหน้าอ่อนกว่าวัย ก็เพราะพวกเขาได้มีโอกาสฝึกหายใจ ให้ลึก ยาว และละเอียดบ่อยครั้งนั่นเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสงบสุขในใจ และลดสารความเครียด ที่เรียกว่า "คอร์ซิตอล" แล้ว (อันเป็นสาเหตุหลักของความแก่ชราก่อนวัยอันควร)

   การหายใจอย่างเต็มปอด ยังช่วยฟอกเลือดที่นำพาออกซิเจน ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของใบหน้าอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ทำให้ใบหน้าดูมีน้ำมีนวล เต่งตึง สดใส อ่อนกว่าวัย และสุดท้ายเลือดเหล่านั้น ก็ยังช่วยขับสารพิษตกค้างต่างๆ (detox) ออกจากอวัยวะ ทุกส่วนของร่างกาย และบนใบหน้าได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย

จะสังเกตได้ว่า เวลาที่เราโกรธ กลัว ตกใจ เครียด หงุดหงิด กังวล หรือทุกข์ ลมหายใจของเราจะสั้นและตื้น แต่เวลาที่เรามีความสุข สงบ มีพลัง นิ่ง สุขุม มั่นใจ สบายใจ ลมหายใจของเรา จะยาวและลึก

ทั้งนี้ สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ หากเราตั้งใจหายใจให้ยาว และลึกสัก 4-5 ครั้ง สมองของเราจะถูกหลอกว่า เรากำลังรู้สึกสบาย สุขุม และมีพลังเช่นกัน กระบวนการนี้เรียกว่า การทำ "Biofeedback" (การป้อนกลับทางชีวภาพ) โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ

   เทคนิคการหายใจที่ดีคือ การหายใจอย่าง "ละเอียด" ซึ่งเป็นการหายใจให้ช้า ลึกและเบา โดยสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ให้หน้าท้อง และหน้าอกพองตัว จนไม่สามารถพองต่อไปได้อีก แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออก...ยาวๆ อย่างไม่รีบร้อน จนหมดทั้งปอด ทำเท่านี้เพียง 3-4 ครั้ง ก็จะรู้สึกว่าร่างกายเริ่มเบา ใจเริ่มเย็น จิตเริ่มโล่ง และสมองเริ่มปลอดโปร่งขึ้นแล้ว     

   ถามว่าต้องทำ และต้องฝึกบ่อยแค่ไหน คำตอบคือ "รู้ตัวเมื่อไหร่ ก็ทำเมื่อนั้น" หรือทำทุกครั้ง ที่รู้สึกว่าจิตเริ่มตก คือ เริ่มกลัว โกรธ กังวล เหนื่อย เครียด เบื่อ เซ็ง ท้อ ทุกข์  

   ชีวิตของคนเรา แท้จริงอยู่ได้ด้วยลมหายใจ ที่เชื่อมต่อกัน และการหายใจที่ดี ก็เป็นเครื่องมือในการสร้างจิตใจที่สงบ สร้างชีวิตที่ประสบความสำเร็จ และสร้างสุขภาพ ให้ยืนยาวที่ง่ายที่สุด

   หลายคนเสียเงินทองมากมาย ไปกับการเข้าคอร์สบริหารจิต หรือปลุกพลังต่างๆ ในราคาแสนแพง โดยลืมหันกลับ มาหา...


  󾁃  สิ่งมหัศจรรย์อันล้ำค่า ที่อยู่ตรงปลายจมูกของเรานี่เอง

🌞🌞🌞🌞🌞🌞🌞🌞

ขออนุญาต(ส่งต่อข้อมูลอันล้ำค่าต่อชีวิตผู้มีโอกาสได้รับรู้ ด้วยความยินดี)

Sunday, January 24, 2016

ชื่อภาพ "โจร"

จิตกรหนุ่มคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียง เขาได้พักอาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ แคบๆ แห่งหนึ่ง เขาอาศัยการวาดภาพในการหล่อเลี้ยงชีวิต

อยู่มาวันหนึ่ง.. เศรษฐีคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นฝีมือการวาดภาพของเรา เขารู้สึกพอใจและชอบเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีจึงว่าจ้างให้เขาวาดภาพเหมือนของตัวเองหนึ่งภาพ ตกลงสนทนาราคากันไว้ที่ 10,000เหรียญ

เมื่อผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ภาพวาดของเศรษฐีก็สำเร็จเรียบร้อย เศรษฐีกลับมารับภาพตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ครั้งนี้ เศรษฐีเกิดจิตคิดที่ไม่ดี บอกกับจิตกรหนุ่มว่า

“เธอไม่ได้เป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ฉันให้ราคาตามที่ตกลงกันไว้ไม่ได้หรอก!”

เศรษฐีนึกกระหยิ่มในใจ “ภาพนี้ก็เป็นภาพของฉัน หากฉันไม่ซื้อ ใครจะโง่ยอมซื้อวะ? ในเมื่อไม่มีคนซื้อ ฉันจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่แพงไปทำไม?”

“”ฉันให้ราคาภาพนี้แค่3,000เหรียญ จะเอาหรือไม่เอา?”

จิตกรหนุ่มตกตะลึงเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตเป็นรอบที่สอง เพราะเขาไม่เคยเจอลูกค้าประเภทนี้มาก่อน จึงรู้สึกสับสนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอ้อนวอนเศรษฐีอยู่เป็นเวลานานสองนาน เพื่อให้เศรษฐียอมจ่ายให้ตามราคาที่ตกลงกันไว้ เขาบอกกับเศรษฐีว่าคนเราต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้ง!

“อย่ามาโยกโย้ ฉันให้นายแค่3,000พันเหรียญเท่านั้น!”
เศรษฐีคิดว่าตนถือไพ่เหนือกว่า จึงได้ตะคอกกลับไปอีกว่า
“ฉันบอกนายเป็นครั้งสุดท้าย 3,000เหรียญ จะขายหรือไม่ขาย?”

จิตกรหนุ่มรู้ว่าอ้อนวอนไปก็เปล่าประโยชน์ ประกอบกับความรู้สึกไม่พอใจกับการถูกข่มเหง เขาจึงพูดกับเศรษฐีด้วยเสียงอันดังว่า

“ไม่! ผมไม่ขายรูปแผ่นนี้แล้ว และจะไม่ยอมรับความอัปยศที่คุณพยายามเสือกใสมาให้ผมเป็นอันขาด วันนี้คุณเป็นคนผิดสัจจะ วันข้างหน้าผมจะทำให้คุณต้องซื้อภาพนี้ในราคาที่สูงกว่านี้อีก200เท่า”

“ตลกล่ะ 200เท่า ก็เท่ากับหกแสนเหรียญเชียวนะ ฉันจะโง่ซื้อภาพของตัวเองในราคาหกแสนเหรียญได้ยังไง?”

“งั้นผมก็จะรอคุณเป็นคนมาง้อขอซื้อภาพของคุณเองก็แล้วกัน!” พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็ถือภาพนั้นเดินกลับเข้าบ้านไป ไม่สนใจชายเศรษฐีแม้แต่น้อย

เหตุการณ์ที่จิตกรหนุ่มได้เผชิญกับความอัปยศที่เศรษฐียัดเยียดมาให้ วันรุ่งขึ้น เขาย้ายไปอยู่เมืองอื่นด้วยความสะเทือนใจ เขาตัดสินใจเข้าเรียนศิลปะอย่างเป็นทางการ และเอาจริงเอาจังกับการวาดภาพอย่างเอาเป็นเอาตาย

ฟ้าย่อมไม่ทำให้ผู้ทุ่มเทผิดหวัง ผ่านไป 10 กว่าปี เขากลายเป็นจิตกรที่มีชื่อเสียง ในกลุ่มจิตกรที่ติดอันดับมีชื่อของเขาเป็นหนึ่งในนั้น

ส่วนเศรษฐีคนนั้นล่ะ? หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผ่านไปได้ 2 วัน เขาก็ได้ลืมเรื่องราวนั้นไปและไม่เคยจำมาใส่ใจอีกเลย

อยู่มาวันหนึ่ง สหายของเศรษฐีหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเขาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย
“เกลอเอ๋ย มันเป็นสิ่งประหลาดมาก หลายวันนี้พวกเราได้ไปเยี่ยมชมนิทัศการภาพวาดของจิตกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่มีราคาแพงมาก และไม่ยอมให้มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ภาพวาดนั้น เหมือนเกลอยังกะแกะ

เกลอรู้ไหมภาพนั่นมีราคาเท่าไหร่? หกแสนเชียวนะภาพนั้นนะ! แต่ที่น่าขันก็คือ ภาพนั้นมี่ชื่อว่า “โจร”

เศรษฐีเหมือนถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้า ภาพเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผุดขึ้นมาเหมือนม้วนหนังที่ทำการฉายใหม่อีกครั้ง

สิ่งที่เพื่อนของเขาเล่ามา ทำความเสียหายให้เขาเป็นอย่างยิ่ง เขารีบเดินทางไปที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดแห่งนั้นในทันที พร้อมกับเข้าไปทำการขอโทษจิตกรหนุ่มผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แถมยังยอมซื้อภาพนั้นกลับบ้านในราคาหกแสนเหรียญโดยไม่ขาดไม่เกินไปแม้แต่สตางค์เดียว

เพราะอุดมการณ์ที่ไม่ยอมแพ้ในครานั้น ทำให้ชายเศรษฐียอมกลับมาก้มหัวให้ในวันนี้

จิตกรหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่า "ปิกัสโซ่"
.......................

ไม่มีใครสามารถทำร้ายคุณหรือยัดเยียดความอัปยศอดสูมาให้คุณได้ นอกเสียจากตัวคุณเอง!

~นุสนธิ์บุคส์~

เขียนดีมาก อ่านให้จบ แล้วคุณจะรักตัวเองขึ้นอีกเยอะ...

สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้ความสุข ความสะดวกกับการใช้ชีวิต ที่เหลืออยู่..

- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บำรุง
- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ
- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง 
- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน 
- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน
- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน
- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง
- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก
หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง
ดังนั้น

- อยากกิน...กิน
- อยากเที่ยว....เที่ยว
- เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้
- สุขสบายทุกเพลา
- เวลาที่ยังจับมือไหว ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์
- เวลาที่ยังกอดไหว ให้โอบกอดให้ชื่นใจ
- ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป
- เวลาที่อยู่ด้วยกัน อย่าได้โกรธกันง่ายๆ

ถ้าคุณส่งให้เพื่อนๆ แสดงว่าคุณเป็นคนรักและหวังดีกับเพื่อนคุณ ถ้าไม่ส่งแสดงว่าคุณรักแต่ตัวเองไม่คิดจะเผื่อแผ่ความสุขให้คนรอบข้างและเตือนสติเพื่อนของคุณ..รักนะครับถึงเอามาให้อ่านกันครับ

Friday, January 22, 2016

นพ.ดำรง หมอประจำในหลวง มีคำแนะนำดีๆ มาฝากครับ

★นพ.ดำรง หมอประจำในหลวง มีคำแนะนำดี ๆ มาฝากครับ
           ◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆

สำหรับการป้องกันโรคหัวใจคือให้ทานวิตามิน B 1หรือ B 6 หรือ B 12 และกับ B 9 เพียง 2 อย่างนี้ อย่างละเม็ด ก่อนนอนเป็นประจำ คุณหมอรับประกันว่าจะไม่เป็นโรคหัวใจเลย...
            ~~~~~~~~~~~~
สำหรับเรื่องคอเลสเตอรอลสูง และไตรกลีเซอไรด์สูงนั้น คุณหมอยืนยันว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจการแพทย์และเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าที่มหาศาล โดยกำหนดให้คนปกติมีระดับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 200 และไตรกลีเซอไรด์ไม่เกิน 150 ซึ่งยาที่ให้ทานหากคอเลสเตอรอลสูงกว่าเกณฑ์นั้น.มีผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก.ไขมันไม่ได้ถูกขับออกจากร่างกายแต่จะย้ายไขมันไปไว้ที่ตับแทน และยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจกับผู้ที่ทานยาลดคอเลสเตอรอล.ในที่สุดก็เป็นโรคหัวใจกันเป็นแถวๆ
คุณหมอบอกว่าจากการวิจัยที่บอสตัน 30 ปีที่แล้วยังคงเป็นจริงคือ.คนเราจะมีคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้มากเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับไขมันตัวดี ที่เรียกว่า HDL หากเรามี HDL สูง แม้ว่าคอเลสเตอรอลสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง เราก็ปลอดภัย ไม่ต้องทานยา  

วิธีดูระดับปลอดภัยให้คำนวณดังนี้
  • คอเลสเตอรอล:  ให้เอาค่าคอเลสเตอรอลตั้งหารด้วยค่า HDL หากได้ผลลัพท์ ไม่เกิน 4 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ต้องทานยาแม้ว่าคอเลสเตอรอลจะสูงถึง 300 ก็ตาม
  • ไตรกลีเซอไรด์: ให้เอาค่าไตรกลีเซอไรด์ตั้งหารด้วยค่า HDL หากได้ผลลัพท์ ไม่เกิน 3 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ต้องทานยาแม้ว่าไตรกลีเซอไรด์จะสูงเกิน 150 ก็ตาม
  • ทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย   


(rose stalk)การทำเมมโมแกรม : เป็นอันตรายและเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมที่เราไม่รู้กันเลยว่า การบีบอย่างแรงและสมทบด้วยรังสี...…  (tulip)ตอนนี้อัตราการเป็นมะเร็งเต้านมของเมืองไทยพุ่งสูงติดอันดับของโลกแล้ว… (tulip)คุณหมอบอกว่า ในต่างประเทศเขาเลิกใช้เครื่องเมมโมแกรมกันนานแล้ว........ 
(rose stalk)ดื่มน้ำเย็นเป็นต้นเหตุของอาการปวดหลัง
(tulip)ใครจะไปเชื่อว่าการดื่มน้ำเย็นจะมีพิษมีภัยและให้โทษได้ถึงขนาดนี้
(tulip)หมอได้พบผู้ป่วยที่มีอาการแขนขาอ่อนแรงหรือที่เรียกกันว่าโรคอัมพฤกษ์
ซึ่งสืบค้นต้นตอไปๆมาๆ ก็พบว่า สาเหตุมาจากพฤติกรรมการดื่มน้ำเย็นหรือน้ำแข็งเป็นประจำนั่นเอง (tulip)ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่าไม่กินผักมาตั้งแต่เล็กๆรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่สำคัญคือชอบดื่มน้ำเย็นเป็นประจำมาตั้งแต่เด็กและต้องเป็นน้ำเย็นจากตู้เย็นเท่านั้นก่อนที่จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นร่างกายผู้ป่วยได้ส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้ง...
  • (tulip)เช่นมึนเวียนศีรษะง่าย
  • (tulip)เห็นเหมือนแสงไฟแวบๆขณะกระพริบตา 
  • (tulip)การพูดเริ่มติดๆขัดๆ (tulip)สุดท้ายเกิดอาการวูบกะทันหัน.ต้องนำส่งโรงพยาบาล.เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งผู้ป่วยก็ไม่สามารถขยับร่างกายซีกซ้ายได้แล้ว....

นี่คืออาการของโรคเส้นเลือดตีบที่สมองในวัยเพียง 40 ปี ที่ชอบทานแต่น้ำเย็นมาตลอดเวลา
       ◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆
(rose stalk)การดื่มน้ำเย็นสำหรับคนไทยนั้น.ทำให้ไตต้องรับกำจัดความเย็นออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว.ขับน้ำเย็นมากักเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะเตรียมขับออกเป็นน้ำปัสสาวะ.ทำให้ผู้ที่ชอบทานน้ำเย็นก็ยิ่งขาดน้ำ.จนเลือดข้นหนืดไปหมด.ประกอบกับหลอดเลือดที่เริ่มแข็งกระด้างไม่ยืดหยุ่น.ทำให้มีคราบไขมันและของเสียไปยึดเกาะตามผนังหลอดเลือดจนเกิดการพอกพูนกลายเป็นโรคหลอดเลือดตีบก็เพราะน้ำเย็นที่ชอบทานเป็นประจำนั่นเอง
(rose stalk)ไตของเราเปรียบเสมือนเครื่องกรองน้ำอันน่าอัศจรรย์
ทำหน้าที่ช่วยกรองของเสียออกจากเลือดแล้วขับออกทางปัสสาวะการทำหน้าที่ตลอด 24 ชม.ไม่มีวันหยุดของไตนั้น (tulip)ถ้าเราไปซ้ำเติมด้วยการรับประทานสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกายรวมทั้งน้ำเย็นด้วยก็จะทำให้เกิดภาวะไตอ่อนแอและจะส่งสัญญาณร้องให้เราทราบดังนี้
  1. ปัสสาวะบ่อยขึ้น อั้นปัสสาวะไม่ได้นาน ดื่มน้ำเข้าไปแล้วต้องวิ่งเข้าห้องน้ำบ่อยๆกลางคืนก็ต้องลุกขึ้นเข้าห้องน้ำหลายเที่ยว
  2. มีอาการปวดหลังปวดเอวบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลานั่งนานๆ
  3. ปวดเมื่อยตามข้อและร่างกายง่าย เช่น ปวดข้อเข่า ปวดต้นคอ
  4. หลอดเลือดตีบตันหรือหลอดเลือดแข็งได้ง่าย


หากใครยังทานน้ำเย็น นมเย็น กาแฟเย็น น้ำอัดลม น้ำหวานเย็น
ชาเย็น อยู่เป็นประจำ มีอาการปวดหลังแน่ๆ
ก็ต้องดูแลตนเองง่ายๆ ดังนี้
  1. ปรับเลือดที่หนืดข้นให้หายข้นด้วยการเพิ่มน้ำเข้ากระแสเลือด โดยทานน้ำอุ่นให้ได้ 8-10 แก้ว ทุกวัน
  2. ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวกอย่างต่อเนื่องด้วยการออกกำลังเป็นประจำที่สามารถทำได้ หรืออาจใช้การจัดกระดูกช่วยให้เลือดไหลเวียนสม่ำเสมอ
  3. ไม่กินอาหารเนื้อสัตว์ ของทอด ของหวานจัด เพราะทำให้เกิดอนุมูลอิสระปริมาณมากจนทำให้หลอดเลือดแข็ง หรือ ตีบตันได้ง่าย
  4. งดการทานน้ำเย็นเด็ดขาด


รู้แล้วอย่าเฉยเมยนะปฎิบัติด้วยและรู้แล้ว รู้เรื่องจริงด้วย
         ◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆
(pointing right)และอย่าเก็บไว้คนเดียวนะครับ โปรดแบ่งปันให้คนรอบข้างของตัวเรานะครับ...(tulip)(tulip)(tulip)

'ที่1'ไม่เป็นไม่ได้แล้ว

สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่ยอมแพ้ใคร และไม่ชอบแพ้ชาติไหน "ดนัย จันทร์เจ้าฉาย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการสัมมนาในหัวข้อเรื่อง "ก้าวเป็นที่ 1 ด้วยแรงบันดาลใจ" (Inspired Leadership) ว่า ครั้งหนึ่งเมื่อมีสื่อมวลชนถาม ลีกวนยู ว่า มองประเทศไทยเป็นอย่างไร

           สิ่งที่รัฐบุรุษผู้นี้ตอบกลับมา บางที ไม่เพียงแต่ทำให้สื่อมวลชนคนนั้นอึ้ง  แต่เชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูการสัมภาษณ์ ในครั้งนั้น ต่างออกอาการ "อึ้งกิมกี่"  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

           เพราะ ลี กวน ยู บอกสั้นๆ ตรงไป ตรงมาว่า "ไม่เคยมองไทยเลย..."
           พร้อมกับอธิบายว่า ไทยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่ดี เป็นศูนย์กลางทางการบิน ขณะที่สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ  ที่ผ่านมาสิงคโปร์เคยมองว่าไทยเป็นคู่แข่งอยู่พักหนึ่ง ไม่เกิน 5 ปี แต่หลังจากนั้นสิงคโปร์ก็รู้ดีแก่ใจว่า ไทยไม่สามารถแข่งขันกับสิงคโปร์ได้ เพราะโครงสร้างการศึกษา ยังไม่เอื้ออำนวยให้คนไทยมีคุณภาพคับแก้ว

           "เรากำลังถูกประเทศต่างๆ ดูถูกย่ำยี" ดนัยบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย

           เกาะสิงคโปร์มีขนาดเท่ากับ จ.สระแก้ว ประชากรก็น้อยกว่าไทยหลายเท่า แต่ขีดความสามารถในการสร้างประเทศให้จิ๋ว แต่แจ๋ว นับวันก็ยิ่งทำให้ไทยถูกมองว่า  ช่างอุ้ยอ้าย เทอะทะ จนไม่ใช่คู่เปรียบมวย ในเวทีเดียวกัน แม้แต่เวทีอาเซียนเอง ก็ยังไม่ได้อยู่ในความสนใจของสิงคโปร์มากนัก

           "ตอนเป็นเด็ก ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ที่ไทยเราทุกวันนี้กำลัง แข่งขันกับเวียดนาม ลาว และเมียนมา เวียดนามเองก็เป็นประเทศที่ไม่ยอมแพ้ ใคร วันนี้ประเทศไทยยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันดีกว่าเวียดนาม  แต่ข่าวร้ายคือเราจะดีกว่าเวียดนามได้อีกไม่นาน ทุกวันนี้ประเทศที่ได้ฉายาว่าเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย (sick man of Asia) คือฟิลิปปินส์ แต่อีกไม่นานไทยเราจะ ก้าวขึ้นมาเป็นคนป่วยแทนฟิลิปปินส์"

           เขากล่าวว่า มีหลายๆ สัญญาณที่เริ่มแสดงตัวเด่นชัดว่า ไทยใกล้จะเป็นประเทศ ที่ล้าหลังที่สุดในอาเซียน ต่อให้ประเทศไทยยังไม่ได้แพ้ให้กับฟิลิปปินส์ในวันนี้ เพราะความตกต่ำของฟิลิปปินส์มาจากผู้นำ มาร์กอสเป็นคนดึงประเทศลง ขณะที่ไทยไม่มีใครฉุดรั้งประเทศให้ลงที่ต่ำ มีแต่คน ในประเทศที่ดึงตัวเองลงมา

           ปี 2557 ที่ผ่านมาประเทศไทยเติบโต สูงขึ้นเป็นอันดับสุดท้าย 0.9% พอมาปี 2558 นี้เติบโตสูงขึ้น 2.5% ซึ่งเติบโตน้อยที่สุด ในอาเซียน และคาดการณ์ว่าในปีหน้า 2559 จะเติบโตสูงขึ้น 2%

           "ต่อไปไทยเราจะเติบโตได้มากสุดประมาณนี้" ถ้าเปรียบเป็นความสูง ประเทศไทยคงสูงได้แค่กลางๆ ไม่สามารถสูงใหญ่มีกล้ามเนื้อได้มากๆ เหมือนใครเขา

           อีกเรื่องที่น่าตกใจสำหรับดนัย เจ้าของสำนักพิมพ์ที่ผลิตองค์ความรู้สู่สาธารณชน ก็คือ เด็กไทยมีคะแนนสอบทุกวิชามีค่าเฉลี่ย 40 กว่าๆ จากเต็มร้อย ถือเป็นคะแนนปริ่มน้ำที่แทบจะพังกันไปทั้งระบบการศึกษา  ทั้งๆ ที่เมืองไทยใช้งบประมาณทุ่มเทให้กับการศึกษามากเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย

           ถ้าเป็นภาษาวัย gen Me ยุคนี้ต้องบอกว่า "ช็อคแพร๊บบ... นึง" เพราะระดับคุณภาพทางการศึกษาของพี่ไทย กำลัง ช่วงชิงแข่งกันลงข้างล่างกับเวียดนามและเมียนมา
           เรื่องที่คนไม่ค่อยรู้ก็คือ ก่อนหน้านี้ เมียนมาได้ลงทุนควักกระเป๋าอันบางเฉียบ ว่าจ้างเยอรมันให้มาช่วยทำวิจัยกลุ่มประเทศในอาเซียน โดยมีโฟกัสอยู่ที่ ประเทศไทย และสิงคโปร์

           ดูเผินๆ เหมือนกับว่า เมียนมากำลัง benchmarking เปรียบมวยกับไทยและสิงคโปร์ แต่เอาเข้าจริงแล้ว เป้าหมายของเมียนมาคือ อยาก สวย เริ่ด เชิ่ด หยิ่ง  แบบสิงคโปร์ และมองไทยเอาไว้เตือนตน (lesson not to learn) ว่า อย่าได้ริอ่านเอาเป็นแบบอย่างทีเดียวเชียว เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่สมควรทำตามในทุกเรื่อง  ตั้งแต่โครงการจำนำข้าว รถยนต์คันแรก และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ถือเป็นความล้มเหลวของประเทศ

           แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อเรา ไม่สามารถย้ายประเทศไทยไปอยู่โซนยุโรป เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีผิดหูผิดตาแบบสวิสเซอร์แลนด์ได้ หัวใจของการแข่งขัน ในศตวรรษที่ 21 จึงยังไม่สายเกินไปที่ไทยเราจะดึงพลังความคิดสร้างสรรค์จากสมองที่มีน้ำหนักตัวเพียง 1.5 กิโลกรัม เอามาเป็นแม่แรงยกระดับความสามารถของชาติไม่ให้เตี้ยติดดิน (เพราะไหนๆ ไทยเราก็ไม่ได้สูง ไปมากกว่านี้อีกแล้ว)

           "วันนี้ไทยเราจะแข่งขันได้  ต้องแข่งกันที่สมองซีกขวา ซึ่งเป็นโหมดของความคิดสร้างสรรค์" ดนัยพูดด้วยความกระตือรือร้น

           ทุกวินาทีจากนี้เอเชียคือเศรษฐกิจใหม่ของโลก หมดยุคของแบรนด์ดูดีมีชาติตระกูลจากตะวันตก เพราะนับวันกระแสสินค้าท้องถิ่น กำลังปลุกวิญญาณวิถีแห่งวัฒนธรรม ไม่ใช่แบรนด์เดียวแล้วใช้กัน ทั้งโลก แต่เป็นความหลากหลายของแบรนด์  ดั่งสายน้ำที่ไหลรวมกันเป็นสายใหญ่

           "สิบปีที่ผ่านมา ไทยหายไปจากสปอตไลท์ของโลก เราได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่คนชอบใช้ไลน์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก เราขึ้นทำเนียบสังคมของนักช้อป แต่เราไม่เคยติดอันดับหนึ่งในประเทศ นักคิด ไม่เคยอยู่ในสังคมของนักคิดเลย  สิ่งที่เราควรทำจากนี้คือ benchmarking แบบเดียวกับที่เมียนมามีสายตาไว้มองสิงคโปร์"

           การฉุดประเทศไทยออกจากหลุมดำ อันดับแรกต้องหัดช่วยตัวเองก่อน แทนที่จะทำตัวเองเป็นสังคมช่างอ่อนแอในหลายเรื่อง ก็ฝึกความเข้มแข็งให้ตัวเองผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรม IDE (Innovation Driven Enterprise) และนวัตกรรมจะงอกเงยขึ้นมาได้ จากการเพิ่มเซลส์สมอง ให้มากขึ้น ยิ่งทำให้แตกตัวได้มาก ความฉลาดก็จะยิ่งมากตาม โดยไม่ต้องกิน โอเมก้า 3

           "เราสามารถเพิ่มเซลส์สมองจากการพัฒนาสมองซีกขวาซึ่งเป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ สมองซีกขวาจไม่ประเมิน  ไม่ตัดสิน ไม่ฟันธง yes, no, ok ขณะที่สมองซีกซ้ายจะอยู่กับร่องกับรอย ยึดแม่แบบตำรา อยู่กับกฎระเบียบ สมองซีกขวาชอบออกนอกกรอบ ชอบอยู่กับอะไรใหม่ๆ แต่สมองซีกซ้ายชอบอะไรตรงๆ"

           เขาบอกว่า เราสามารถทำตัวเองให้ฉลาดขึ้นได้ ด้วยการใช้ทักษะของสมอง ทั้งสองซีกให้สมดุลกัน ฝ่ายไหนมากกว่า ก็ให้มาเพิ่มอีกฝ่ายที่น้อยกว่า ให้หัดทำ ในสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น เคยใช้มือขวา ตักข้าวเข้าปาก ก็ให้มือซ้ายมาทำงาน แทนบ้าง นอกจากนี้การฝึกสมาธิก็เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยจัดระเบียบการทำงานของสมอง

           "วอลล์สตรีท เจอร์นัล ออกมาฟันธงแล้วว่า สมาธิคือกุญแจสร้างความสำเร็จ แม้แต่กูเกิลเองยังมีทางเดินจงกรมให้พนักงาน ขณะที่ซิลิคอน วัลเลย์ ก็ออกแบบสมาธิให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร ไม่ใช่ทำอะไรแบบผิวๆ"

           สุดท้ายแล้วการทำชีวิตให้ประสบ ความสำเร็จ หรือการสร้างชาติให้มีเศรษฐกิจที่ดี จุดหมายปลายทางคือ การสร้างความสุข ร่วมกัน ซึ่งสำคัญกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ
           ข้อดีของการเป็นที่ 1 คือ สามารถ ยืนอยู่ได้โดยไม่มีใครบัง และการไม่คิด ผลักดันตัวเองให้เป็นที่ 1 เราอาจจะต้องชะเง้อคอยาวผ่านหัวไหล่ใครอีกหลายคน เพราะฉะนั้นแล้ว การตั้งธงเป็นที่ 1  แล้วจะได้ที่เท่าไหร่ถือว่าดีทั้งนั้น สำหรับทุกความพยายามที่มีจริงๆ ไม่ใช่ความเหลาะแหละ...

           เรียบเรียงจากงานสัมมนา  ก้าวเป็นที่ 1 ด้วยแรงบันดาลใจ  (Inspired Leadership) จัดโดย สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี กลางเดือน ต.ค. 2558 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมอโนมา ราชดำริ กรุงเทพฯ

'ความตกต่ำของฟิลิปปินส์ มาจากผู้นำมาร์กอสเป็นคนดึงประเทศลง ขณะที่ไทยไม่มีใครฉุดรั้ง มีแต่คนในประเทศ ที่ดึงตัวเองลง'

•นสพ.กรุงเทพธุรกิจ  หน้า 20 วันที่ 29 ตุลาคม 2558

Thursday, January 21, 2016

ตำรับสมุนไพรทะลวงหลอดเลือด

สูตรลับสุดยอด ให้คนที่คุณรักลองดู 

ทะลวงหลอดเลือดด้วยภูมิปัญญาโบราณ เพียง 2 นาที เป็นของขวัญอันล้ำค่าแก่พ่อแม่และเพื่อนๆ ของคุณ 

ชายชาวลอนดอนคนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อเขาไปประชุมที่ปากีสถาน เกิดมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างเฉียบพลัน แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดหัวใจของเขา 3 เส้นอุดตันอย่างรุนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดทำบายพาส. กำหนดการผ่าตัดคืออีก 1 เดือน ในช่วงระหว่างนั้นเขาไปพบหมอบำบัดมุสลิมโบราณ หมอบำบัดให้เขาทำยาทานเองที่บ้าน เมื่อทานครบ 1 เดือน ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลเดียวกันก่อนผ่าตัด พบว่าเส้นเลือดทั้ง 3 เส้นใสสะอาด ที่เคยอุดตันก็ถูกทะลวงออกหมด เพื่อช่วยให้คนอื่นได้รับประโยชน์ เขาได้บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองบนอินเทอร์เน็ต รวมทั้งโชว์ภาพถ่ายเส้นเลือดของเขาก่อนและหลัง เพื่อให้แสดงความแตกต่างก่อนและหลังทานยา 

วัตถุดิบที่ใช้ ...
  • น้ำมะนาว 1 ถ้วย
  • น้ำขิง 1 ถ้วย
  • น้ำคั้นกระเทียม 1 ถ้วย
  • น้ำส้มสายชูแอปเปิล 1 ถ้วย 

วิธีเตรียม.. 
  1. ลอกเปลือกกระเทียมและขิง หั่นขิงเป็นชิ้นบางๆ นำทั้งสองอย่างใส่เครื่องปั่นเครื่องคั้นน้ำผลไม้ ปั่นละเอียดแล้วเทลงบนผ้ากรอง เพื่อบีบน้ำคั้นออกมา 
  2. นำน้ำคั้นกระเทียมและขิงลงไปในหม้อ เติมน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชูแอปเปิลลงไป ต้มจนเดือด แล้วค่อยๆเคี่ยวไปโดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ เพื่อให้น้ำระเหยออก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะได้ยาที่เคี่ยวแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณเริ่มต้น 
  3. ตั้งทิ้งไว้จนอุณหภูมิลดลง ก็ให้เติมน้ำผึ้งลงไปผสมเพื่อให้ทานได้ง่าย (ใส่มากเท่าที่รสชาดพอจะทานได้) 
  4. ใส่น้ำสมุนไพรนี้ในขวดแก้ว แช่ในตู้เย็นเก็บไว้ 

วิธีรับประทาน

ทาน 1 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้าทุกวัน สามารถขจัดโรคหัวใจและหลอดเลือดให้หายขาดได้ คนทั่วไปยังสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง รวมทั้งป้องกันโรคหวัดและโรคภัยอื่นๆ ได้อีกด้วย 

เมื่อทานได้ 1 เดือน ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณจะพบหลอดเลือดสะอาด เส้นที่มีการอุดกั้นถูกทะลวงไปแล้ว 

****สูตรลับนี้จะต้องบันทึกเก็บไว้นะครับ...!และต้องเผยแพร่ส่งต่อให้คนที่ท่านรักและปรารถนาดี! **** 

หมายเหตุ น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล มีจำหน่ายตามห้างต่างๆ เช่น ท๊อป แมคโคร

การทดลองเล็กๆ ของเด็กๆ แต่เกิดผลสะเทือนโลก!!!

มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยเด็กผู้หญิงมัธยมต้น 5 คนของโรงเรียน Hjallerup School ใน North Jutland ในเดนมาร์ก โดยทำการเพาะเมล็ดผัก garden cress ในสองถาด และแยกถาดทั้งสองอยู่คนละห้องแต่ปรับอุณหภูมิให้เท่ากัน ได้รับน้ำและแสงแดดในปริมาณเท่าๆ กันเป็นเวลา 12 วัน

ถาดแรกนำไว้ในห้องที่ไม่มีคลื่น Wifi ใดๆ ปรากฏว่าเมล็ดผักเติบโตตามปกติ ถาดที่สองนำถาดไปวางใกล้ๆกับ Wifi router 2 เครื่อง ปรากฏว่าเมล็ดผักแทบไม่เติบโต รากไม่งอก

ผลการทดลองของเด็กๆ นี่เองทำให้วงการวิทยาศาสตร์ตื่นตัวเพื่อทำการค้นหาสาเหตุว่า "คลื่นโทรศัพท์ เเละ ระบบไร้สายมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?" ทำไมถึงมีผลยับยั้งระงับการงอกของเมล็ดผักได้ Professor Olle Johansson แห่ง Karolinska Institute ในกรุง Stockholm สวีเดน จึงอาสาเข้ามาทำการศึกษาเพิ่มเติมต่ออย่างเป็นระบบเพื่อสรุปผลทางวิชาการในวงกว้างต่อไป

ศาสตราจารย์ Olle Johansson ได้กล่าวชมเชยการค้นพบของเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็นตัวกระตุ้นให้คนตระหนักว่า "ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับเปิดระบบ Wifi และโทรศัพท์มือถือทิ้งเอาไว้" แรงผลักดันที่ทำให้เด็กกลุ่มนี้ทดลองดังกล่าวก็เพราะว่า สงสัยว่าทำไมเวลานอนไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์มือถือใกล้หัวเตียงแล้ว ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีอาการปวดหัว ไม่มีสมาธิ

ย้อนหลังไปดูการทดลองในเนเธอร์แลนด์เมื่อ 3 ปีที่แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ของ Wageningen University โดยใช้ต้นไม้ (ash tree) 20 ต้นมาสัมผัสใกล้ชิดกับคลื่นต่างๆเปรียบเทียบกันตลอดเวลา 3 เดือน และพบว่าต้นที่อยู่ใกล้กับคลื่น WiFi แรงๆพบว่าใบมีสีน้ำตาลไหม้ ใบร่วง ดังนั้นเราควรระมัดระวังในการใช้อุปกรณ์ IT ที่มีคลื่นต่อสุขภาพของเรา ก่อนนอนปิดโทรศัพท์ และอุปกรณ์WIFI ซะก่อน จะปลอดภัยที่สุด

Hello world!

Also see: Tumblr.
Most names have already existed: they-say, they-said, what-they-say.