Friday, April 22, 2016

中醫妙方 ตำรายาแพทย์แผนจีนสุดวิเศษ


  1. 若要不失眠,煮粥加白蓮。ถ้าหากนอนไม่หลับ ให้ทานข้าวต้มใส่เม็ดบัว
  2. 心血氣不足,桂圓煨米粥。หัวใจเลือดลมเดินบกพร่อง ให้ทานโจ๊กตุ๋นลำใย
  3. 蘿蔔小人蔘,常吃有精神。หัวไช้เท้ากับโสมคน ทานเป็นประจำทำให้คึกคักมีกำลังวังชา
  4. 常吃蘿蔔,不用醫生開藥方。ทานหัวไช้เท้าเป็นประจำ หมอต้องปิดตำรายา
  5. 常吃蘿蔔常喝茶,不用醫生把葯拿。ทานหัวไช้เท้าและดื่มชาเป็นประจำ ไม่ต้องพึ่งยาหมอ
  6. 吃蘿蔔,喝熱茶,郎中改行拿釘耙。ทานหัวไช้เท้า ดื่มชาร้อน หมอต้องเปลี่ยนอาชีพไปถือจอบเสียม
  7. 九月九,大夫抄著手,家家吃蘿蔔,病從哪裡有?หมอตกงาน เมื่อทุกบ้านทานไช้เท้า โรคภัยที่ไหนจะมี
  8. 蘿蔔抗癌,降福消災。ไช้เท้าป้องกันมะเร็ง ลดและกำจัดโรคภัย
  9. 蘿蔔纓子不要錢,止瀉止痢賽黃連。ใบต้นไช้เท้าไม่เสียเงิน ใช้แก้โรคบิดและท้องเดิน
  10. 蘿蔔、乾薑、梨,治咳有效又便宜。ไช้เท้า ขิงแห้ง สาลี่ แก้ไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งราคาถูก
  11. 多吃芹菜不用問,降低血壓喊得應。ทานผักคึ่นช่ายมาก ลดความดันโลหิต
  12. 黃瓜鮮脆甜,常吃美容顏。แตงกวาสดหวานกรอบ ทานเป็นประจำผิวพรรณสวยงาม
  13. 吃了十月茄,餓死郎中爺。ทานมะเขือเป็นประจำ หมอจะต้องอดตาย
  14. 多吃紫茄煮米飯,黃疸肝炎好得快。ทานมะเขือสีม่วงต้มกับข้าวบ่อยๆ โรคดีซ่านและตับอักเสบหายได้เร็ว
  15. 多吃番茄營養好,貌美年輕疾病少。ทานมะเขือเทศมาก หน้าตาอ่อนเยาว์โรคภัยน้อย
  16. 胡蘿蔔,小人蔘,常吃長精神。แครอท โสมคน ทานเป็นประจำกำลังวังชาดี
  17. 紅蘿蔔,顯神通,降壓降脂有奇功。แครอท ลดความดันและไขมันได้อย่างมหัศจรรย์
  18. 韭根韭葉,散瘀活血。รากและใบต้นกู้ไฉ่ สลายเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนดี
  19. 包飯用荷葉,清香又解熱。ห่อข้าวด้วยใบบัว ทั้งหอมและดับพิษร้อน
  20. 女子三日不斷藕,男子三日不斷姜。สตรีขาดเผือกมิได้ ชายขาดขิงไม่ได้
  21. 紅棗芹菜根,能降膽固醇。ลูกจ๊อแดง รากผักคึ่นช่าย ลดคอเรสเทอรอล
  22. 紅棗黃芪湯,補血養氣好效方。น้ำแกงลูกจ๊อแดงกับหวงฉี บำรุงเลือดลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  23. 酸棗加白糖,安眠幫大忙。ลูกจ๊อเปรี้ยวเติมน้ำตาลทรายขาว ช่วยให้หลับสบาย
  24. 核桃山中寶,補腎又健腦。ลูกวอลนัท ซันจงเป่า บำรุงไตและสมอง
  25. 常把核桃吃,潤膚黑髮須。ทานวอลนัทเป็นประจำ ผิวหนังชุ่มชื้น ผมและหนวดเคราดำ
  26. 早晨喝杯淡鹽湯,勝過醫生去洗腸。เช้าตรู่ดื่มน้ำเกลือแกงเจือจาง ดีกว่าหาหมอล้างลำไส้
  27. 一日不吃薑,身體不安康。หนึ่งวันไม่ทานขิง ร่างกายไม่เป็นสุข
  28. 姜開胃,蒜敗毒,常吃蘿蔔壯筋骨。ขิงเจริญอาหาร กระเทียมฆ่าเชื้อ ทานไช้เท้าประจำกระดูกและเอ็นแข็งแรง
  29. 冬天一碗薑糖湯,去風去寒賽仙方。ฤดูหนาวทานน้ำขิงใส่น้ำตาลสักชาม ช่วยขับความเย็น ทำให้อบอุ่น
  30. 晨吃片姜,賽過人蔘鹿茸湯。เช้าทานขิงแผ่นเทียบได้กับน้ำแกงใส่โสมคนและเขากวางอ่อน


老中醫的養生法寶,每天學著做,有好處哦!
วิธีบำรุงสุขภาพอันล้ำค่าของแพทย์แผนจีน เรียนรู้และปฏิบัติทุกวันมีประโยชน์นะจะบอกให้

給朋友和家人都看看!
ให้เพื่อนๆและครอบครัวอ่านกันถ้วนหน้าครับ

Thursday, April 21, 2016

งานที่ดี... ในสายตาคน 4 Generation

» โดย อธิป กีรติพิชญ์ (นิ้วโป้ง)

ย้อนกลับไปซัก 40 ปีก่อน... คำว่า 'งานที่ดี' ในสายตาคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (ปัจจุบันอายุช่วง 52-70 ปี) แตกต่างจากยุคปัจจุบัน

พวกเขาได้รับการสอนมาว่า ให้ตั้งใจเรียน จบมารับราชการ ทำงานรัฐวิสาหกิจ เป็นเจ้าคนนายคน

งานมั่นคงที่สุด ไม่มีเลย์ออฟ ชามเหล็กตกไม่แตก มีกินมีใช้

บางคนมีรถหลวงบ้านหลวงอยู่อาศัยได้ทั้งชีวิต เงินเดือนก็ขึ้นตลอด

ถึงกับมีคำกล่าวว่า 'สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง'

แต่ในยุคปัจจุบัน..

ปัญหาคือ เงินเดือนเริ่มต้นของงานราชการ งานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเอกชน

โอกาสในการเติบโตก็ยากกว่าเพราะมีระบบอาวุโสที่เคร่งครัด

โอกาสในการแสดงความสามารถขออาสารับทำงานสำคัญก็ยาก เพราะมีระบบชั้นการบังคับบัญชาที่ลึกล้ำ

และยังมีระบบพิเศษที่ผูกติดกับระบบอุปถัมภ์ค่อนข้างมากระดับลึกซึ้งฯลฯ

ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ 'คนรุ่นใหม่' ที่ต้องการความสำเร็จเร็ว จึงมักจะปฏิเสธงานราชการ

.
----------------------------------
.

ย้อนกลับไปซัก 20-30 ปีก่อน...

คำว่า 'งานที่ดี' ในสายตาคนรุ่นเจนเนอเรชั่น X (ปัจจุบันอายุช่วง 36-51 ปี) คืองานในองค์กรเอกชน เงินเดือนสูง

ยิ่งถ้ามีความมั่นคงด้วยแบบ งานธนาคาร งานบริษัทน้ำมัน งานบริษัทสื่อสาร องค์กรใหญ่ ๆ ยิ่งเป็นงานในฝัน

โอกาสในการไต่เต้า (career path) เปิดกว้าง ทำงานซัก 20 ปีก็ได้เป็นผู้จัดการ ผู้อำนวยการ หลังอายุ 40 ปี มีทั้งเงินเดือนสูง มีทั้งตำแหน่งสูง

แต่ในยุคปัจจุบัน..ปัญหาของงานเอกชน คือ เงินเดือนเริ่มต้นที่เคยสูง กลับไม่สูงอย่างอดีต

ท่านเชื่อหรือไม่ว่า เงินเดือนวิศวกรสตาร์ท 15,000 บาท เป็นเงินเดือนเริ่มต้นตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว

กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีหลายบริษัทให้สตาร์ทที่ 15,000 บาทเหมือนเดิม อีกทั้งโอกาสในการไต่เต้าก้าวหน้าก็ตีบตันลง

เพราะคนปลายยุคเบบี้บูมเมอร์ และคนยุคเจน X ยึดกุมตำแหน่งสำคัญในองค์กรเอกชนใหญ่ ๆ ไว้เกือบหมด

และที่สำคัญที่สุด อัตราการขึ้นเงินเดือนที่เคยมีอย่างน้อย 10% ในอดีต ตอนนี้เฉลี่ยขึ้นเงินเดือนกันที่ 3-5% เท่านั้น

.
----------------------------------
.

ย้อนกลับไปซัก 10 ปีก่อน...

คำว่า 'งานที่ดี' ในสายตาคนรุ่นเจนเนอเรชั่นY (ปัจจุบันอายุช่วง 21-35 ปี) เริ่มเบนออกจากคำว่า 'งานประจำ'

เพราะการต้องตรากตรำทำงาน 20 ปีกว่าจะได้ลืมตาอ้าปาก

คนเจน Y ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีคงรอไม่ไหว อีกทั้งงานประจำเอกชนสมัยนี้เงินเดือนขึ้นช้า โบนัสน้อยลงมาก

แถมยังมีความมั่นคงในอาชีพน้อยกว่ายุคเก่าอย่างมาก

มีข่าวการเลย์ออฟไล่ออกให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี

ในขณะที่คนเจน Y ต้องการทุ่มเททำงานหนักเพื่อแสดงความสามารถเต็มที่

ต้องการการยอมรับ ต้องการจับงานใหญ่ ต้องการทำงานหนัก 5-10 ปี แล้วคุ้มค่ากับการทุ่มเท ...

นี่จึงเป็นที่มาของงาน“ฟรีแลนซ์”ที่คนทำงานประจำออกมารับงานอิสระ ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย

แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้เป็นมือวางอันดับต้น ๆ ในความเชี่ยวชาญงานสายฟรีแลนซ์นั้น งานจะไหลมาเทมา ต้องทำจนห้ามป่วย ห้ามพัก กันเลยทีเดียว

กระแสการทำงานฟรีแลนซ์เริ่มมีมากขึ้น อาชีพที่เรามักได้ยินกันก็หลากหลาย เช่น

ฟรีแลนซ์ถ่ายภาพ ฟรีแลนซ์เขียนโปรแกรม ฟรีแลนซ์ที่ปรึกษาธุรกิจ ฟรีแลนซ์วิทยากร ฯลฯ

แปลตรงตัวก็คือ ผู้เชี่ยวชาญในสายอาชีพนั้น ที่ผันตัวเองจากลูกจ้างบริษัท มาเป็นผู้รับจ้างอิสระ

.
----------------------------------
.

เข้าสู่ยุคปัจจุบัน...คนเจน Y ปีสุดท้ายได้เข้าสู่ตลาดแรงงานกันหมดแล้ว

และกำลังมีคนเจนเนอเรชั่นใหม่คือ เจน Z (ปัจจุบันอายุช่วง 21 ปีลงมา) กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป

คนเจน Z ที่เกิดและเติบโตมากับเทคโนโลยี ความรวดเร็วฉับไว มีโทรศัพท์มือถือทุกครอบครัวตั้งแต่พวกเขาเกิดไม่นาน

และเป็นกลุ่มผู้ใช้ Social Media กลุ่มใหญ่มาก

คนเจน Z ยิ่งต้องการความสำเร็จเร็วมากกว่าคนเจน Y ซะอีก

หากคนเจน Y คือคนรุ่นใหม่ ที่นิยมลาออกจากงานประจำ มาเป็นฟรีแลนซ์ คนเจน Z คือคนรุ่นใหม่กว่า ที่ไม่นิยมการเข้ามาเริ่มทำงานประจำเลยด้วยซ้ำ

แต่จะมุ่งตรงไปที่การเป็นฟรีแลนซ์ รับจ้างทำงานเป็นชิ้นไปเลย

ทีนี้ เกิดคำถามว่า จำนวนงานจะเพียงพอเลี้ยงตัวเองได้หรือ???

ในเมื่อประสบการณ์และอายุงานยังน้อยมาก คอนเนคชั่นในวงการก็ยังเพิ่งเริ่มต้นอาชีพฟรีแลนซ์จะพอเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร ???

นี่จึงเป็นที่มาของการรับทำงานไม่ประจำแบบจ๊อบ ๆ ทำเสร็จแล้วจบ แต่มีหลาย ๆ ชิ้นงาน

ในอเมริกาเรียกรูปแบบการทำงานนี้ว่า 'Gig Economy' คือรับงานเป็นจ๊อบหลายจ๊อบ

ซึ่งแตกต่างจากฟรีแลนซ์ที่ทำงานอย่างเดียวเป็นแนวเชี่ยวชาญ

.
----------------------------------
.

ตัวอย่างของ Gig Economy เช่น...

นายสมชาย คนเจน Z เพิ่งเรียนจบ อาจจะรับงานหลาย Gig โดยมีทั้ง ขายของในไอจี(Instagram)ในช่วงเช้า

ช่วงกลางวันนัดพบลูกค้ามาเช่าบ้านตัวเองที่แบ่งพื้นที่ให้เช่าใน Airbnb

และช่วงเย็นรับติวฟิสิกส์กลุ่มนักเรียน ม.ปลาย ทางออนไลน์

หรือช่วงเย็นของบางวัน ...อาจรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินำเที่ยว ชิมอาหารย่านเยาวราช ผ่านทางแอพ Take Me Tour

นายสมชายจึงเป็นคนที่มีรายได้หลายทาง โดยงานทุกชิ้นมี 'อินเทอร์เน็ต' เป็นเครื่องมือสำคัญ

เทรนด์นี้กำลังมาและจะทวีความสำคัญต่อคนรุ่นใหม่อย่างมาก

.
----------------------------------
.

ถามว่าอะไรที่ทำให้คนรุ่นเจน Y และ Z ทำแบบนี้ได้ ?

การเกิด Gig Economy มีปัจจัยสำคัญดังนี้...

1. อินเทอร์เนต โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เนตความเร็วสูง 3G 4G รวมทั้งเนตบ้าน ทำให้คนทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ เชื่อมต่อกับโลกได้ทุกที่ ทุกเวลา

2. แอพพลิเคชั่น พัฒนาการของโลกแอพ ไปไกลมาก

โลกเรามีโซเชียลมีเดียที่ใช้กันทั้งโลกอย่าง Facebook, Twitter เรามีแอพแชร์ภาพชื่อดังอย่าง Instagram

เรามีแอพแชทสื่อสารอย่าง WhatsApp และ LINE

และ กำลังมีแอพยุคใหม่ ที่เอื้อให้คนทำงานได้มากขึ้นอย่าง Grab TAXI, UBER, และ Airbnb

3. คนรุ่นใหม่ ผู้นำในโลกยุค 10 ปีข้างหน้า กำลังจะถูกขับเคลื่อนโดยคนเจน Y และ Z

ซึ่งเป็นคนที่เติบโตมากับเทคโนโลยี และความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร และเป็นคนที่พร้อมรับอะไรใหม่ ๆ เต็มที่

.
----------------------------------
.

สิ่งที่ผลักดันคนเจน Y และ Z ให้หันมาทำ “งานไม่ประจำ ทำหลายจ๊อบ”มากขึ้น

ผมคิดว่ามีเรื่องมุมมองต่อความมั่นคงในงานที่ไม่เหมือนเดิม

พวกเขาสงสัยอย่างยิ่งว่า …

• เงินเดือน 15,000-18,000 บาท จะสร้างความมั่นคงในชีวิตได้อย่างไร ?

• อัตราการขึ้นเงินเดือน 3-5% หรืออย่างเก่ง 10% จะสร้างความมั่นคงในชีวิตได้อย่างไร ?

• การไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งบริหาร ใช้เวลาเป็น 10 ปีขึ้นไป พวกเขามองว่านั่นเป็นความเสี่ยงมหาศาล (คนรุ่นใหม่ทำงาน 1-2 ปีก็ถามหนัก ๆ ละว่าเมื่อไหร่จะได้เป็นผู้จัดการ)

.
----------------------------------
.

ดังนั้น Gig Economy งานไม่ประจำ ทำหลายจ๊อบ จึงเป็นโอกาส เป็นความท้าทาย และเป็นทางเลือกที่คนรุ่นใหม่ต้องการ

...ตอบโจทย์ความเป็นผู้ประกอบการ
...ตอบโจทย์ความท้าทายในชีวิตทำงาน
...ตอบโจทย์ความเป็นเจ้านายตัวเอง
...บริหารจัดการเวลาของตัวเองได้

Gig Economy ยังเติมเต็มความต้องการเบื้องลึกอีกอย่างของคนรุ่นใหม่ คือ 'การใช้ชีวิตไปด้วย ทำงานไปด้วย'

เพราะพวกเขาเห็นพ่อแม่ทำงานหนักเป็นลูกจ้างองค์กรมาทั้งชีวิต กว่าจะได้เที่ยวจริงจังก็วัยใกล้เกษียณเข้าไปแล้ว

ชีวิตทำงานจึงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาต้องการ

.
----------------------------------
.

คำแนะนำ 3 ข้อของผม สำหรับคนเจน Y และ Z ที่จะเข้าสู่ Gig Economy อย่างเต็มตัวในอนาคตอันใกล้นี้ คือ...

1. จงสร้างบ่อน้ำไว้หลายบ่อ...สร้างความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย ความมั่นคงของชีวิต ไม่เคยมีอยู่ในงานเดียว

2. จงเป็นเจ้านายตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ...งานฟรีแลนซ์ งานไม่ประจำทำหลายจ๊อบ ไม่มีเจ้านายมาสั่งเรา จึงจำเป็นที่ตัวเราต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกค้าและตัวเองอย่างสูงยิ่ง

3. จงเป็นมนุษย์เกิน 100… ด้วยความที่ต้องทำงานหลายจ๊อบ ทั้งหาลูกค้า หานายจ้าง หรือบางครั้งอาจจะทำงานประจำร่วมด้วย

การเป็นมนุษย์เกิน 100% เหยียบเรือหลายแคม ต้องใช้พลังกายพลังใจสูง

จริงอยู่ ว่างานไม่ประจำทำหลายจ๊อบ อาจจะไม่เหมาะกับคนเจน Y,Z ทุกคน ซึ่งก็ต้องดูจริต ดูจังหวะชีวิตของแต่ละคน

แต่ผมมีความเชื่อลึก ๆ ว่า คนรุ่นใหม่ต้องการความยืดหยุ่น (Flexible) และความเป็นเจ้าของ (Ownership)

.
----------------------------------
.

งานลักษณะนี้...จึงน่าจะเป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก

ที่อเมริกามีคนทำงานไม่ประจำทั้งประเทศ มากถึง 53.7 ล้านคน (ข้อมูลจาก upwork.com) คิดเป็น 16.8% ของจำนวนประชากร

...เยอะมากใช่เล่นครับ

ถึงขนาดที่เรื่อง Gig Economy เป็นประเด็นในการหาเสียง ของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างฮิลลารี่ คลินตัน

พูดถึงนโยบายการส่งเสริม Gig Economy ว่าจะทำอย่างไร

โดยใช้คำเรียกเศรษฐกิจยุคใหม่นี้ว่า Micro Entrepreneurship (ผู้ประกอบการขนาดจิ๋ว)

งานไม่ประจำ ทำหลายจ๊อบ ...เทรนด์นี้มาแน่ ๆ ครับ

.
----------------------------------
.

Credit บทความ : อธิป กีรติพิชญ์ (นิ้วโป้ง) | CEO Blogs - กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
.

Credit ภาพประกอบ : http://blog.yeshelper.com/content/images/2015/05/Modern-Workforce-Infographic-2.jpg
.

#Life101Page #GlobalTrend #Work #GigEconomy #MicroEntrepreneurship

Wednesday, April 20, 2016

แง่คิด ดีดี จาก คุณบัณฑิต อึ้งรังษี

... การสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองก็เหมือนการอาบน้ำ แปรงฟันที่ต้องทำเป็นประจำ ทำเป้นกิจวัตรประจำวัน

... เกิดมาแล้ว ค้นหาตัวเองให้เจอว่าอยากเป็น อยากทำอะไร แล้วก็มุ่งมั่นตั้งใจไปตามฝันให้สำเร็จ การที่เราหลงทางไปทำสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ เปรียบเหมือน
การปีนต้นไม้ผิดต้น เสียเวลา และก็ไม่ได้ผลลัพธืตามที่ต้องการด้วย

... การทำธุรกิจให้ดี ต้องมี Employee ให้น้อยที่สุด หาธุรกิจที่ไม่ต้องมีลูกจ้าง (No employee  หรือ มีให้น้อยที่สุด A few employees

... Good employee are free. หมายถึงเวลาทำธุรกิจ ถ้าต้องจ้างคนมาทำงานให้จ้างคนที่สร้างรายได้ให้เรา มากกว่าเงินเดือนที่จ่ายให้เขาไป (แต่ส่วนใหญ่
ลูกจ้างมักจะคิดอีกแบบ คือทำงานเท่าเงินเดือนที่ได้ หรือไม่ก็ทำงานได้น้อยกว่าเงินเดือนซะอีก ชีวิตของลูกจ้างแบบนั้น จึงไม่ค่อยจะรุ่ง

... ข้อแนะนำ คือ ให้จ้างคนที่เก่งกว่าเรา มาทำงานให้เรา เราจะได้มีเวลา เอาเวลา ไปทำสิ่งที่เราชอบ ถนัด และมีความสุข
      
คุณบัณฑิต ยกตัวอย่างคน ๆ หนึ่งชอบทำอาหารมาก ทำอาหารเก่งมาก
... มีความสุขกับการทำอาหาร วันหนึ่งอยากรวยก็เลยเปิดร้านอาหาร ต้องคุมคนในร้านมากมาย ชีวิตยุ่งยาก
ต้องคอยบริหารจัดการ คนและปัญหาอื่น ๆ อีกจิปาถะ วัน ๆ ก็ยุ่งอยุ่กับการแก้ปัญหาภายในร้าน จนไม่มีความสุข
เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นคือ การทำอาหาร
       
อย่างนี้แนะนำว่าให้หาคนที่เก่งเรื่องบริหารจัดการมาทำหน้าที่แทนจะดีกว่า ไหม จะได้เอาเวลาไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข นั่นคือ การทำอาหาร

... สิ่งที่มองไม่เห็นทำให้เกิดสิ่งที่มองเห็น เช่น รากต้นไม้ทำให้พืชเติบโต ออกดอกออกผล ทัศนคติที่ดี นำพาชีวิตให้ก้าวหน้าประสบความสำเร็จ มีงาน มีเงินใช้
ความคิดความเชื่อ ทำให้เกิดการลงมือทำ

... โรงเรียนทั่วโลก สอนเด็กนักเรียนให้เตรียมตัวไปเป็นลูกจ้าง ให้เก่งในเรื่องการหางานทำ ให้ขยันทำงานเยอะ ๆ จะได้เงินแยะ ๆ
แต่คุณบัณฑิต ให้ข้อคิดว่าจะดีกว่าไหมถ้าเราทำงานให้น้อยลง แต่ได้เงินมากขึ้น

... ความล้มเหลวของคนอื่น ไม่ได้เป็นเหตุผลที่จะทำให้เราต้องล้มเหลวอย่างเขาด้วยนี่ ถ้าเราตั้งใจจริง มุ่งมั่น ทำอย่างต่อเนื่อง เราก็จะประสบความสำเร็จ
ได้ด้วยตัวเรา

...ไม่ว่าคุณจะทำอะไร มันก็ต้องมีคนวิจารณ์เสมอ ฉะนั้นอย่าได้ไปสนใจคำพูดของคนอื่น จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง

... Change outside by Changing inside first.

Monday, April 18, 2016

ไม่มีเป้าหมายก็ไปไม่ถึง

"นิทานสอนใจ ไม่มีเป้าหมายก็ไปไม่ถึง"
จากหนังสือ ฮาร์วาร์ด สอนวิธีคิด เล่มที่1

... ฟลอเรนส์ แชดวิกค์ นักว่ายน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก เธอว่ายน้ำจากเกาะแคทเธอรีนมายังอ่าวแคลิฟอร์เนีย เธออยู่ในน้ำนานถึง 16 ชั่วโมง พอเหลือระยะทางอีกประมาณ 1.8 กิโลเมตร เธอเห็นหมอกขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่สุดลูกหูลูกตา ในภวังค์ความคิดของเธอบอกว่า

“เมื่อไหร่ฉันจะว่ายถึงชายฝั่งตรงข้ามเนี่ยะ”

และแล้ว เธอก็รู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้า หมดความมั่นใจ ด้วยเหตุนี้เธอจึงถูกลากขึ้นไปพักที่เรือลำเล็ก และเสียโอกาสที่จะทำลายสถิติโลก

หลังจากเหตุการณ์นี้ ฟลอเรนส์ได้รู้ว่า เธอเกือบจะว่ายถึงฝั่งได้สำเร็จ อุปสรรคที่ขวางความสำเร็จของเธอไม่ใช่หมอกขนาดใหญ่ แต่เป็นความเคลือบแคลงในใจของเธอ หลังจากที่หมอกใหญ่บดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นของเธอ จนทำให้ขาดความมั่นใจที่จะสร้างสถิติใหม่ และในที่สุดเธอก็ถูกหมอกใหญ่นั้นจับไปเป็นเชลย

สองเดือนกว่าผ่านไป ฟลอเรนส์ แชดวิกค์ว่ายไปยังอ่าวแคลิฟอร์เนียเพื่อทำลายสถิติอีกครั้ง เธอพูดกับตัวเองตลอดว่า

“ฉันเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้นทุกทีแล้ว ฉันเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้นทุกทีแล้ว”

จิตใต้สำนึกส่งสัญญาณบอกกับเธอว่า “ครั้งนี้ฉันจะต้องทำลายสถิติได้อย่างแน่นอน” ดังนั้นเธอจึงรู้สึกฮึกเหิม และบรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้ในที่สุด

ปีเตอร์ นักปรัชญาชาวกรีกโบราณกล่าวไว้ว่า “คนเราต้องมีเป้าหมายชีวิต ไม่เช่นนั้นจะสิ้นเปลืองพลังทั้งหมดที่มี”

ที่จริงแล้วการที่ฟลอเรนส์ ต้องล้มเหลวในครั้งแรกนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะเธอไม่มีความสามารถที่จะว่ายไปให้ถึง แต่เป็นเพราะหมอกจัดทำให้เธอมองไม่เห็นเป้าหมาย มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง อันที่จริง ในชีวิตของคนเราทุกคนล้วนแต่มี “หมอกจัด” ที่ทำให้หลงทางยามที่พบกับอุปสรรค ส่งผลให้ต้องละทิ้งสิ่งที่ทำไปในที่สุด ...

อ่านจบแล้ว ก็คงต้องมานั่งทบทวนว่า เรามีเป้าหมายในชีวิตของเราหรือไม่ แล้วตอนนี้ เรากำลังเดินไปสู่เป้าหมายนั้นหรือเปล่า และตอนนี้ เรากำลังเจอกับหมอกหนาที่มาบดบังเป้าหมายของเรา จนเราล้มเลิกการเดินไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้หรือไม่

Sunday, April 17, 2016

สอบติดเตรียมอุดม  TU 79 "ไม่เรียนพิเศษ"

วันนี้เตรียมอุดมก็เพิ่งประกาศผลสอบไปค่ะ สดๆร้อนๆช่วงเที่ยงนี้เอง ด้วยความตั้งใจว่าถ้าสอบติดจะมาเขียนกระทู้เป็นแนวทางแก่น้องๆรุ่นต่อๆไป เราเลยจะมาแชร์ประสบการณ์สอบติดเตรียมอุดม ศิลป์-ภาษา โดยไม่เรียนพิเศษ รวมถึงวิธิการเตรียมตัว แนวข้อสอบ และแนะนำหนังสือด้วย :)

เกริ่นนำก่อนเนอะ เราเริ่มรู้สึกอยากเข้าที่นี่ตอนม.3เทอม2 มีเวลาเตรียมตัวประมาณ5เดือน เรามีพื้นฐานอังกฤษค่อนข้างดี แต่ไทยกะสังคมห่วยมากมายเลยค่ะ5555 เราก็เริ่มจากไปซื้อหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬา หนังสือที่แนะนำก็มี

ไทย
-เลอค่า อันนี้รุ่นพี่ทำค่ะมีทั้งไทยกับอิ๊ง ส่วนของภาษาไทยนั้นจะเป็นบทๆไปและมีข้อสอบของแต่ละบท เราว่าดีเลยนะเล่มนี้ ควรมีไว้ๆ

-เสริมปรีชาญาณ เล่มนี้ดีมากกกกก ต้องมีไว้เลยๆ โดยเฉพาะแบบฝึกหัดข้างหลังมันช่วยได้เยอะเลยนะ

-ภาษาไทยใช้net เล่มนี้คนเขียนเดียวกับเสริมปรีชสญาณค่ะ ดีอีกเหมือนกัน ถ้ามีเวลาก็อยากให้ซื้อมาทำ แต่บางเรื่องมันเป็นของม.ปลายนะ อ่านกับทำโจทย์แค่เรื่องของม.ต้นก็พอ

อังกฤษ
-เลอค่า โจทย์เยอะจุใจ

-ตะลุยโจทย์ error+vocab ของดร.ศุถวัฒน์ ตรงerrorอะฝึกทำโจทย์เยอะๆแล้วน้องจะจับจุดได้เอง ส่วนเล่มvocabไม่ต้องตกใจนะถ้าเปิดมาแล้วอ้าปากค้างกับคำศัพท์ เราก็เป็นค่ะ555 พยายามท่องๆไป *ยิ่งมีศัพท์เยอะยิ่งได้เปรียบน้า*

-ศัพท์4หน้าครูสมศรี ท่องหมดได้จะดีมากค่ะ อย่างที่บอก คำศัพท์สำคัญจริงๆนะ (แต่เราท่องไป2หน้าเอง อิอิ)

-Entrance 15พ.ศ. เล่มหนาเตอะมากค่ะ เป็นข้อสอบentranceเก่า จะเน้นreadingค่อนข้างเยอะ ถ้ามีเวลาหามาทำก็ดีนะแอบคล้ายแนวเตรียมอยู่ แต่ถ้าเหลือเวลาน้อยแล้วก็ไม่ต้องก็ได้ค่ะ ไปเน้นท่องศัพท์เอาเนอะ

-Triamaholic ของรุ่นพี่เหมือนกัน โจทย์ดีค่ะ สรุปแกรมม่าเรื่องที่มักผิด+ศัพท์ข้างหลังเล่มก็โอเคเลย

สังคม
-พี่หมอสอนสังคม สรุปเนื้อหาสังคมม.ต้นได้ละเอียดและกระชับ เล่มเดียวอยู่ค่ะ555 ข้างหลังมีข้อสอบเก่าด้วย สำหรับวิชานี้บางคนอาจจะไม่อ่าน แต่เราว่าควรอ่านไปนะ ข้อสอบสังคมเตรียมฯปีนี้ไม่ได้ยากแบบหลุดโลกอย่างคำลำ่ลือเลยสำหรับเรา

ตัวอย่างข้อสอบสังคม (เท่าที่จำได้)

-หลักธรรมในข้อใดตรงกับการทำความดี ละเว้นความชั่ว ตอบ:เบญศีล เบญธรรม
-พูดถึงข่าวเลือกตั้งในพม่าแล้วถามว่า พม่ามีรัฐเหมือนประเทศอะไร
-วันทางศาสนาวันใดที่เกี่ยวกับความไม่ประมาท
-องค์กรใดที่ไทยไม่ได้เข้าร่วม ตอบ:tpp
-รัฐบาลห้ามจับปลาในช่วงฤดูวางไข่ คือช่วงใด
-ยกตัวอย่างเหตุการณ์มา แล้วถามว่าข้อใดเป็นตามหลักอุปสงค์
-ถามว่าข้อใดผิดเกี่ยวกับ ร.2-5 ไม่ยากเท่าไหร่ๆ
-เหตุการณ์ใดเกิดก่อนไทยเสียกรุงครั้งแรกและการย้ายถินฐานไปธนบุรี ตัวเลือกมี ปฏิวัติฝรั่งเศส/โคลัมบัสค้นพบอเมริกา/ย้ายนักโทษไปออสเตรเลีย
ที่จำได้ก็ประมาณนี้นะ ผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยค่าา

แนวข้อสอบภาษาไทย

-ก็ออกหลักภาษาและวรรณคดีที่เราเรียนมานั่นแหละ ทบทวนให้แม่นและทำโจทย์บ่อยๆ ปีนี้ข้อสอบออกค่อนข้างแหวกแนวนะ คือไทยฉบับ2แทบจะมีแต่วรรณคดี,วิเคราะห์วรรณคดี,สำนวน
-คำภาษาต่างประเทศออกแค่2,3ข้อเองมั้งถ้าจำไม่ผิด
-สมาส,สนธิ1-2ข้อ
-คำสะกดผิด2ข้อ
-ราชาศัพท์1
-ลักษณะนาม ประโยค คำนาม,กริยา,วิเศษณ์ 0จ้าา ปล.เราดันอ่านตรงนี้มาเยอะมากด้วย555
-อย่าชะล่าใจวรรณคดีเชียว ควรอ่านมาด้วยนะ เรานี่แทบไม่ได้อ่านเลย

แนวข้อสอบภาษาอังกฤษ

-ปีนี้readingเราว่ายากพอสมควร ต้องรู้ศัพท์เยอะๆและตีความหมายpassageให้ได้
-Error ทั้งฉบับ1,2 รวมๆประมาณ10ข้อนิดๆ รู้หลักแกรมม่าและฝึกทำโจทย์เยอะๆแล้วจะรู้ว่าข้อสอบแอเร่อไม่ได้ยากขนาดนั้น
-Cloze test เราค่อนข้างมีปัญหากับเรื่องนี้ อยากทำโคลซได้ต้องแม่นทั้งศัพท์ทั้งแกรมม่ามากๆ
-ปีนี้ไม่มีการ์ตูนนน ฮือออ

*สำหรับใครที่อยากสอบเข้าเตรียมอุดม เราแนะนำท่องศัพท์ตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ เอาศัพท์สี่หน้ามาท่องวันละ2,3คำก็ยังดี ใครได้มากกว่านั้นก็ทำเลยค่ะ เพื่อตัวเราเองทั้งนั้นน เราเพิ่งมาอัดท่องศัพท์ช่วงเดือนสุดท้าย แอบเสียดายเวลามาก ข้อสอบเตรียมอุดมศิลป์ภาษาวัดกันที่อังกฤษนะคะ ถ้าเราได้ศัพท์เยอะๆในหัวเราก็จะเข้าใจบทความต่างๆน้า ทำให้เราทำreadingกับcloze testได้

เราก็อ่านหนังสือทำโจทย์ตามที่แนะนำไปข้างบนเป็นเวลาเกือบ5เดือน แต่เอาจริงๆเพิ่งมาจริงจังตอนเหลือเกือบ2เดือน อย่ากลัวว่าจะไม่ติด แต่ให้ทำให้เต็มที่ที่สุดก็พอ เราชอบคำนี้มาก "ความพยายามไม่เคยทรยศใคร" ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าเราไม่ติดอย่างน้อยก็ได้ความรู้จริงมั้ย?

สู้ๆนะเราเชื่อว่าทุกคนทำได้ถ้าพยายามมากพอ เราเองก็เคยกังวลว่าอย่างเราเนี่ยหรอจะติดแต่เราก็ทำได้แล้วเพราะความพยายามและความขยันของเรา อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ครูคุมสอบเราพูดว่า "โอกาสที่จะเป็นนักเรียนเตรียมอุดม มีแค่ครั้งเดียวนะ" (นอกจากจะซิ่ว) น้องคงไม่อยากหันหลังกลับมามองแล้วเสียใจที่ไม่ได้ทำมันอย่างเต็มที่...

~~~~~
เชื่อว่าผปค. หลายคนคงอยากให้ลูกเข้าเตรียมอุดม ในความเป็นจริงเตรียมตัวแต่เนิ่น จะดีกว่า อย่ารอให้ถึงชั้นม.3 เลย โดยเฉพาะถ้าจะเข้าสายวิทย์ มันยากกว่าสายศิลป์หลายเท่า (ความเห็นส่วนตัว) วางแผนให้ดีครับ