Attention!

อ่านก่อนนะ >> "กาลามสูตร" -- จะได้มีสติระวัง ไม่เผลอพลั้งหลงป่าเวลาอ่านบล็อกนี้ (^_^)

Sunday, August 21, 2016

Metformin

วันนี้ขอเล่าเรื่องยา Metformin สั้นๆ
ยาตัวนี้รู้จักันดีภายใต้ tradename ว่า Glucophage ของ Mersk ค้นพบเป็นครั้งแรกในพืช French Lilac (Galega officinalis) ตั้งแต่ปี1922  ต่อมาจึงสังเคราะห์ ใช้เป็น first line drug ในการคุมอาการเบาหวานของ Diabetes Type 2 มาเป็นเวลา 60 ปีแล้ว อย่างได้ผลดี และปลอดภัยสูง
มาวันนี้มีการพบว่า Metformin อาจมีฤทธิ์ในการต้านกระบวนการแก่ต่างๆ ในร่างกาย และพบในสัตว์ทดลองหลายชนิดว่าสามารถยืดอายุออกไปได้มาก ขณะนี้จึงมีการทำ clinical trial ในคน ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลทางบวกออกมาเป็นส่วนใหญ่ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการ approve เป็นตัวแรกของโลกที่เป็น ยา anti aging และยายืดอายุ (longevity drug) โดยตั้งความหวังว่าต่อไปคนเราคงอายุยืดไปได้ถึง 120 ปี สบายๆ
ก็คงไม่ใช่คำแนะนำ แต่ถ้าสนใจจะทดลองดูก็ดูเหมือนยาตัวนี้ไม่มีผลเสียอะไรมากมาย และ subject ที่เขาใช้ใน clinical study ก็เป็นคนกลุ่มอายุ 70-80 ขนาดที่ใช้ดูเหมือนจะ 500 mg วันละ 2 ครั้ง
ถ้าสนใจก็อ่านเพิ่มเติมจากข้างล่างได้ ตอนนี้มีทั้ง literature และข่าวเรื่องนี้ออกมาเยอะ
http://www.telegraph.co.uk/science/2016/03/12/worlds-first-anti-ageing-drug-could-see-humans-live-to-120/
http://www.lifeextension.com/magazine/2016/3/anti-aging-human-study-on-metformin-wins-fda-approval/page-01

Metformin ยาชะลอความแก่ตัวแรกของโลก
บทความเรื่อง World’s first anti-ageing drug could see humans live to 120 จากหนังสือพิมพ์เทเลกราฟ ประเทศอังกฤษ เขียนโดยซูซาน เนพตัน
เมทฟอร์มิน จะได้รับการทดสอบในงานวิจัยในมนุษย์ในปีหน้า นักวิทยาศรสตร์เชื่อว่ามีวิธีที่จะช่วยให้คนหยุดแก่ได้  ทำให้คนสามารถมีอายุได้ถึง 110-120 ปีโดยมีสุขภาพแข็งแรงด้วย  แนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยมทดลองใช้ยาเมทฟอร์มินซึ่งเป็นยาลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานกับพยาธิตัวกลมชื่อ C' elegan เขาพบว่าพยาธิแก่ช้าลง  นอกจากนั้นยังแข็งแรงและไม่มีรอยย่นตามผิวตัวด้วย  หนูที่กินเมทฟอร์มินก็มีอายุยืนกว่าชีวิตปรกติ 40% กระดูกก็แข็งแรงกว่า นอกจากนั้นในปีที่แล้วมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟพบว่าผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเมทฟอร์มินจะมีอายุยืนกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้ใช้ยานี้
ในปีหน้างานวิจัยที่ทดสอบฤทธิ์ชะลอความแก่ความเสื่อมโดยยาเมทฟอร์มินจะเริ่มขึ้นในมนุษย์ งานวิจัยนี้มีชื่อว่า TAME ชื่อเต็ม
Targeting Aging with Metformin ผู้เข้าร่วมงานวิจัยคือผู้ที่มีอายุ 70 - 80 ปี 3000 คน โดยเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคสมองเสื่อม  ผู้วิจัยหวังว่าจะได้เห็นยาเมทฟอร์มินสามารถชะลอการเกิดโรค หรือหยุดการดำเนินโรคดังกล่าวได้
ผู้สนใจสามารถดูสารคดีเรื่องนี้ได้จากช่อง National Geographic ตอน documentary Breakthrough: The Age of Ageing กำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง Ron Howard
คุณสมบัติประการหนึ่งของเมทฟอร์มินที่ทำให้ชะลอความเสื่อมได้คือยาสามารถขนส่งออกซิเจนให้แก่เซลได้ดี     
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ    http://www.dmthai.org/news_and_knowledge/1430

Saturday, August 20, 2016

เสียชีวิตจากการตรวจสุขภาพ

โดย นพ.สันต์ หัตถีรัตน์

ตัวอย่างผู้ป่วยรายที่ ๕๕
ชายไทยม่ายอายุ ๗๒ ปี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ ได้ดูแลรักษาสุขภาพของตนเองเป็นอย่างดี ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา ไม่มีอาการผิดปกติ วิ่งออกกำลังกายทุกวัน จึงแข็งแรงดี ในครอบครัวไม่มีใครเป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ หรือโรคร้ายแรงใดๆ บิดามารดายังมีชีวิตอยู่และยังช่วยตนเองได้ตามสภาพแก่วัยที่เกิน ๙๐ ปีแล้ว
วันหนึ่ง บุตรสาวคนสุดท้องที่อยู่กับพ่อ เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่งว่า ผู้สูงวัยควรไปตรวจ (เช็ก) สุขภาพประจำปีว่ามีโรคร้ายแรงหรือเปล่า จะได้รักษาแต่เนิ่นๆ

ยิ่งมีข่าวผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองล้มฟุบกลางที่ประชุม จนต้องนำส่งโรงพยาบาล และแพทย์ต้องนำไป "บอลลูน" ขยายหลอดเลือดหัวใจโดยด่วน แล้วแพทย์ยังออกมาให้ข่าวว่า "โชคดีที่มาเร็ว ไม่งั้นอาจรักษาไม่ทัน" เป็นต้น ยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงพ่อมากขึ้น จึงรบเร้าให้พ่อไป ตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลของรัฐ เพราะเชื่อว่าโรง-พยาบาลของรัฐคงจะไม่มั่วหรือตรวจรักษาเพื่อหวังผลกำไรเช่นโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากเธอได้ข่าวว่าโรงพยาบาลเอกชนมี "โปรแกรม" และ "แพ็กเกจ" ตรวจสุขภาพแบบต่างๆ มานานแล้ว เพื่อ หาเงิน ให้กับแพทย์และโรงพยาบาล เธอจึงไม่สนใจ

แต่เมื่อโรงพยาบาลของรัฐโฆษณาประชาสัมพันธ์เรื่องการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องโรคหัวใจในผู้สูงอายุ เธอจึงสนใจและรบเร้าพ่อให้ไปตรวจ ทั้งที่พ่อเองไม่อยากตรวจ เพราะเห็นว่าตนเองสบายดี ไม่มีอาการผิดปกติอะไรและยังออกกำลังได้เป็นปกติ ทั้งตนเองก็ไม่เคยไปตรวจสุขภาพประจำปีมาก่อนเลย ก็ไม่เห็นเป็น อะไร (แต่เคยไปตรวจสุขภาพเมื่อครั้งไปสมัครเข้าทำงาน แล้วเขาบังคับว่าต้องไปให้หมอตรวจสุขภาพก่อน เพื่อจะได้เลือกเอาคนที่ไม่เป็นโรคเข้าทำงาน จึงจำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพ)

อย่างไรก็ตาม เมื่อลูกรบเร้าอยู่เรื่อยๆ พ่อก็ยอมตามใจลูก เพราะลูกบอกว่าสามารถเบิกค่าตรวจรักษาต่างๆ ได้หมด จึงไปตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุตามคำโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น แม้ว่าการตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุจะแพงกว่าสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่เจาะจงว่าจะตรวจแบบผู้สูงอายุ เนื่องจากโปรแกรม หรือ แพ็กเกจ การตรวจ สุขภาพทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดจะเน้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (การตรวจ "แล็บ") แบบครอบจักรวาล หรือแบบสะเปะสะปะ โดยไม่ได้ขัดเกลาให้เหมาะสมกับประวัติความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน และให้เหมาะสมกับความผิดปกติที่พบจากการตรวจร่างกายในแต่ละคน

เพราะในการตรวจสุขภาพส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด แพทย์จะให้ความสนใจกับการซักประวัติและการตรวจร่างกายน้อยมาก เพราะการซักประวัติและตรวจร่างกาย ให้ละเอียดถี่ถ้วนต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๒๐-๓๐ นาที ซึ่งจะทำให้แพทย์เสียเวลามาก และไม่คุ้มกับค่าตรวจที่ได้รับ

การตรวจสุขภาพเกือบทั้งหมดจึงเน้นการตรวจ "แล็บ" เช่น ตรวจเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ เอกซเรย์ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจและ/หรือท้อง และอื่นๆ
เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกาย จะย่อหย่อนและมีโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มมากขึ้น การตรวจ แล็บ จึงต้องครอบจักรวาลมากขึ้น การตรวจสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุจึงมีราคาแพงมากกว่าสำหรับประชาชน ทั่วไป และยิ่งตรวจมาก ก็ยิ่งพบความผิดปกติมากขึ้น เป็นธรรมดา

ชายผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน หลังการตรวจ แพทย์บอกว่า ไขมัน (คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์) ในเลือดสูงเล็กน้อย กรดยูริกสูงเล็กน้อย คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ ควรตรวจเพิ่มเติมด้วยการออก-กำลังบนลู่วิ่ง (treadmill exercise test)

ชายผู้นี้ปฏิเสธ แต่ลูกสาวก็รบเร้าให้ตรวจ เพราะเบิกค่าตรวจได้ ในที่สุดชายผู้นี้ก็ยอมให้ตรวจคลื่นไฟฟ้า หัวใจขณะวิ่งจนเหนื่อย แต่ไม่มีอาการอะไรอื่น เพราะเคย วิ่งออกกำลังทุกวันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจออกมายังก้ำกึ่งว่า จะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดหรือไม่ แพทย์จึงแนะนำให้ตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocandiography) ซึ่งไม่เหนื่อยและไม่เจ็บตัว ผลปรากฏว่าหัวใจดูปกติดี แต่ไม่สามารถบอกว่าหลอดเลือด หัวใจตีบหรือไม่

แพทย์จึงแนะนำให้สวนหัวใจ (cardiac catheterization) และฉีด สี (สารทึบแสงเอกซเรย์) เข้าในหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography) ซึ่งจะเป็นการตรวจที่แน่นอนที่สุดว่า หลอดเลือดหัวใจผิดปกติหรือไม่ ชายผู้นี้ปฏิเสธ เพราะไม่อยากเจ็บตัวและเห็นว่า ยิ่งตรวจยิ่ง "หนักข้อ" ขึ้นเรื่อยๆ แต่ลูกสาวก็ยังรบเร้าให้ตรวจ เพราะเบิกค่าตรวจรักษาทั้งหมดได้ และหมอยังบอกด้วยว่า "ถ้าเป็นพ่อของหมอ หมอก็จะให้สวนหัวใจตรวจเช่นเดียวกัน"

ลูกสาวจึงเคี่ยวเข็ญพ่อ จนพ่อยอมอดอาหารและเตรียมตัวเป็นอย่างดีเพื่อการสวนหัวใจ และในเช้าวันหนึ่ง พ่อก็ได้รับการสวนหัวใจหลังจากที่ถูกงดไปครั้งหนึ่ง (เพราะมีผู้ป่วยหนัก "แซงคิว" ไปในครั้งก่อน) แต่ชายผู้นี้โชคร้าย สายสวนหัวใจเกิดแทงทะลุหลอดเลือดใหญ่ ทำให้ตกเลือด ช็อก และเสีย ชีวิตในเวลาต่อมา

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก แต่ก็เกิดขึ้นได้ เพราะในการตรวจพิเศษต่างๆ ที่ต้องสอดใส่เครื่องมือเข้าไปในร่างกาย ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ และบางรายก็ถึงแก่ชีวิต เช่นเดียวกับการผ่าตัด แม้แต่การผ่าฝีหรือผ่าตัดไส้ติ่งที่คนทั่วไป (รวมทั้งแพทย์) อาจเห็นว่าเป็นของเล็กน้อย แต่ภาวะแทรกซ้อนถึงแก่ชีวิตก็อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะเกิดขึ้นน้อยมากก็ตาม

การฉีด "สี" (สารทึบแสงเอกซเรย์) ก็เช่นเดียวกัน คนที่แพ้ "สี" อาจจะหายใจไม่ออก ช็อก และเสียชีวิตได้ แม้จะเป็นการฉีด "สี" เข้าหลอดเลือดธรรมดา เหมือนการฉีดยาทั่วไป การตรวจและการรักษาต่างๆ ที่ต้องใช้ยา หรือสารเคมี หรือเครื่องมือกระทำต่อร่างกาย จึงเกิดผลข้างเคียง (ภาวะแทรกซ้อน) ได้เสมอ ถ้าเป็นน้อย ก็เป็นเพียง อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือผื่นคัน ถ้าเป็นมากก็อาจมีอาการรุนแรง หรือถึงแก่ชีวิตได้

ที่น่าเสียใจสำหรับชายผู้นี้ก็คือ ท่านเป็นคนแข็งแรงดี ไม่มีอาการอะไร และไม่มีประวัติโรคร้ายแรงในครอบครัว แต่ต้องมาจบชีวิตลงด้วย "การตรวจสุขภาพ"
ในกรณีนี้ นอกจาก "คนดีๆ" (คนที่ไม่เป็นโรคอะไร) ต้องเสียชีวิตด้วยการตรวจสุขภาพแล้ว "คนดีๆ" อีกคนหนึ่งที่ไม่เคยเป็นโรคอะไร ยังต้องล้มป่วยลงด้วยโรคจิตซึมเศร้า จากความรู้สึกผิดว่า ตนเป็นผู้รบเร้าให้พ่อไปตรวจสุขภาพจนพ่อต้องเสียชีวิต

"การตรวจสุขภาพ" ได้รับการโฆษณาชวนเชื่อมาช้านาน จนกลายเป็น "จินตนาการอันบรรเจิด" หรือ "ความฝันอันสูงสุด" ของประชาชนทั่วไปที่เข้าใจว่า ถ้าได้ตรวจสุขภาพแบบที่เขาโฆษณากันแล้ว สุขภาพของตนจะดี ไม่มีโรค และถ้ามีโรค จะได้ตรวจพบแต่เนิ่นๆ และรักษาให้หายขาดได้ ยิ่งถ้าได้ตรวจสุขภาพโดยไม่ต้องเสียเงิน หรือเสียน้อยลง (จากการ "ลดแลกแจกแถม" เช่นเดียวกับการขายสินค้าและบริการต่างๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่) ยิ่งทำให้เกิดความอยากที่จะตรวจสุขภาพเพิ่มขึ้น

อันที่จริง การตรวจสุขภาพคือการตรวจหา "โรค" ให้แก่คนที่ไม่ใช่ผู้ป่วย หรือหาโรคเพิ่มให้แก่ผู้ป่วย จึงเป็นการ "หาเงิน" ให้แก่แพทย์และโรงพยาบาล โดยเฉพาะแพทย์และโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยไปให้รักษาน้อย เพราะแพทย์และโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยมากจนล้นมืออยู่แล้ว ไม่มีใครที่อยากจะให้บริการตรวจสุขภาพ กับใครอีก เพราะแค่งานตรวจรักษาผู้ป่วยก็แสนสาหัสอยู่แล้ว ยังจะต้องมาคอยให้บริการคนดีๆ ที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยอีก

รัฐบาลและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ชอบโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาตรวจสุขภาพ "ฟรี" จึงเป็นการเพิ่มภาระให้แก่แพทย์และโรงพยาบาล ทำให้แพทย์และโรงพยาบาลต้องใช้ทรัพยากร (ทั้งบุคคลและวัตถุ) สำหรับคนดีๆ ทั้งที่ทรัพยากรที่รัฐบาลและ สปสช. ให้ไว้นั้นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการตรวจรักษาผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก แล้วยังสร้าง "ค่านิยม" ผิดๆ ให้แก่สังคมและ ประชาชนทั่วไปในเรื่องสุขภาพ เพราะสุขภาพ คือภาวะแห่งความสุข ทั้งทางกาย ทางใจ ทางจิต และทางสังคม ด้วย

"สุขภาพ" ไม่ใช่ภาวะที่ปราศจากโรค เพราะคนทุกคนย่อมมีโรค อยู่ในตนไม่มากก็น้อยเสมอ เช่น ปวดเวียนศีรษะเพราะโรคเครียด ปวดฟันเพราะโรค    ฟันหรือเหงือก ปวดท้องเพราะโรคกระเพาะลำไส้หรืออาหารเป็นพิษ ตาพร่ามัวเพราะโรคสายตา เป็นต้น แต่แม้เราจะมีโรค แต่เราก็มีความสุขทั้งทางกาย ทางจิต ทางใจ และทางสังคมได้ ถ้าเราควบคุมดูแลโรค ของเราให้เราสามารถอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข

คนที่มีโรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจ/ตับ/ไต ฯลฯ ส่วนใหญ่จึงมีความสุข นั่นคือมี สุขภาพ การมีโรค จึงไม่ได้แปลว่า ไม่มีสุขภาพ หรือ สุขภาพไม่ดี
การตรวจสุขภาพ แบบที่ทำกันอยู่ทั่วไป ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าช่วยสร้างเสริมสุขภาพ แต่มักจะทำให้เกิดโรคประสาท (ความกลัวว่าจะเป็นโรค) และหาโรค ให้แก่คนดีๆ  หรือทำให้คนดีๆ ต้องล้มป่วยหรือเสียชีวิตจากการตรวจและการรักษาที่ไม่จำเป็น ต่างๆ

เมื่อประมาณ ๓๐ ปีก่อน ก็มีคนดีๆ ที่ไปตรวจเช็กสุขภาพของกระเพาะลำไส้ด้วยการเอกซเรย์แบเรียม แล้วเกิดแบเรียมเป็นพิษ ทำให้คนดีๆ ๔ คน (รวมเด็กในท้องด้วยก็เป็น ๕ คน) ต้องเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น ทำให้การตรวจสุขภาพ ซบเซาไปพักใหญ่ แต่ปัจจุบันกลับเป็นธุรกิจที่แพร่หลายและหาเงินได้อย่างมหาศาล

การตรวจสุขภาพแบบครอบจักรวาลและแบบสะเปะสะปะ จึงเป็นขยะในทางการแพทย์ และควรที่ประชาชนจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของธุรกิจเช่นนั้น จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของความปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย ของผู้ใดเป็นอันขาด
จงดูแลสุขภาพของตนเองโดยหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอย่าไปห่วงเรื่อง "การตรวจสุขภาพประจำปี" เลย

******* *******
Credit - ชีวอโรคยา นำมาจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน 
www.doctor.or.th/article/detail/1149#.V67_oZwPx1E.facebook

“เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”

คำหลังยาวกว่าคำหน้านิดเดียว
แต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ
– ประภาส ชลศรานนท์
—–
ช่วงนี้ผมพยายามเตือนตัวเองให้ใช้กฎ “สองนาที” อยู่บ่อยๆ

กฎข้อนี้มาจากของ David Allen ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับ productivity ที่ดังมากๆ ในอเมริกา

กฎสองนาทีที่ว่าก็คือ ถ้าอะไรใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ก็ทำมันไปเลย
เช่นตอนค่ำกลับมาถึงบ้าน กินน้ำผลไม้เสร็จแล้ว แทนที่จะแช่แก้วน้ำไว้ค้างคืน ก็ล้างมันซะเลย
หรืออย่างเมื่อเช้านี้ผมยกตะกร้าผ้าลงมาข้างล่างเพื่อเอาเสื้อผ้าไปส่งซัก พอเดินถือตะกร้าเปล่ากลับมา ผมก็มีทางเลือกว่าจะวางตะกร้าไว้ข้างล่างก่อนเพื่อจะเดินไปกินข้าวในครัว หรือจะเอาตะกร้าผ้าขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว

ธรรมดาผมจะเลือกอย่างแรกเพราะขี้เกียจเดินขึ้น-เดินลง แต่คราวนี้พอรู้ว่าการเอาของขึ้นไปเก็บก่อนใช้เวลาไม่เกินสองนาที ผมก็เลยเอาตะกร้าขึ้นไปเก็บเลยแล้วค่อยเดินลงมาทานข้าว อาจจะเสียแรงเพิ่มซักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

การใช้กฎสองนาทีนี้มีข้อดีอยู่สองอย่าง

1. ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะถ้าใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีก็ทำไปเลย ยังไงก็ไม่ได้เสียแรงเสียเวลาอะไรอยู่แล้ว

2. ป้องกันดินพอกหางหมู ลองมองดูรอบๆ ก็ได้ว่าที่ห้องเรารกหรือที่บ้านเรามีของอยู่ผิดที่ผิดทาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่เราบอกตัวเองว่า “เอาไว้ก่อน” แทบทั้งนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วถ้าเราตัดสินใจเก็บมันให้ถูกที่ซะตั้งแต่แรกก็คงไม่รกขนาดนี้
—–
จะว่าไปพ่อของผมเองก็เหมือนจะใช้กฎนี้เช่นกัน (แม้อาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม)
เวลาใครมาปรึกษาเรื่องอะไร ถ้าพ่อรู้สึกว่าน่าจะมีเพื่อนคนไหนช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ ก็จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร.หาคนคนนั้นทันที จนคนที่มาปรึกษาก็ประทับใจระคนแปลกใจว่าอะไรจะ take action กันรวดเร็วปานนั้น

ซึ่งจะว่าไปก็เป็นวิธีที่ถูก เพราะโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอก่อน แต่ที่เราส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำอะไรทันที ก็เพราะว่าลึกๆ เราอาจจะกลัวอะไรบางอย่าง (ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร) ก็เลยผัดวันประกันพรุ่งไปก่อน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี
—–
บล็อกเกอร์ชื่อ James Clear ได้นำกฎสองนาทีนี้ไปต่อยอด ด้วยการบอกว่า ถ้าเราจะเริ่มนิสัยอะไรใหม่ๆ ก็ควรจะเป็นนิส้ยที่ทำได้โดยใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น
อยากสุขภาพดีขึ้น ก็กินผลไม้ซักหนึ่งลูก
อยากจะเขียนเก่งขึ้น ลองเขียนอะไรก็ได้ซักหนึ่งประโยค
อยากจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ ก็อ่านหนังสือซักหนึ่งหน้า
อยากจะฝึกสมาธิ ก็ลองนั่งดูลมหายใจเข้าออกซัก 10 ครั้ง

ทั้งสี่อย่างนี้ล้วนแต่ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีทั้งนั้น และพอเราเริ่มทำมันบ่อยครั้งเข้า เราก็จะสามารถเอาชนะแรงเฉื่อยที่เคยฉุดเราไว้ และทำสิ่งๆ นั้นได้นานขึ้นเรื่อยๆ

ข้อดีที่สุดของกฎสองนาที ก็คือมันบังคับให้เราทำหลายๆ เรื่อง “เดี๋ยวนี้” โดยไม่มีข้อแม้หรือข้อแก้ตัว

เมื่อลองทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้ทัศนคติแบบ “เดี๋ยวก่อน” เอาไว้หลายเรื่อง ทำให้เสียโอกาสไปไม่รู้เท่าไหร่
ตอนนี้เลยต้องหัดใช้ชีวิตแบบ “เดี๋ยวนี้” ให้มากขึ้นครับ
—–
ขอบคุณข้อมูลจาก
มีเพื่อนเป็นภูเขา โดยประภาส ชลศรานนท์
Getting Things Done by David Allen
How to Stop Procrastinating by Using the “2-Minute Rule” by James Clear

Saturday, August 13, 2016

Monday, August 1, 2016

คนเราเมื่อใกล้ 60 ควรรู้ตัวว่า...

คติพจน์จีน สอนใจไว้ดีมาก

人近六十须自知
คนเราเมื่อใกล้ 60 ควรรู้ตัวว่า

过一天乐一天
ผ่านไปได้ 1 วัน้่, ก็คือสุข 1 วัน

乐一天赚一天
มีความสุข 1 วัน, ก็คือกำไร 1 วัน

山中也有千年树
บนป่าเขาเคยมีต้นไม้พันปี

世上难逢百岁人
แต่บนโลกมนุษย์, คนอายุร้อยปี แทบหาไม่ได้

最大限度也就活到百多岁
(10万人中才有一个)
อย่างเก่งที่มีอายุเกินร้อย, คงมีแค่หนึ่งในแสน

能活到90岁,只有30年。
(ถ้านับเริ่มจากอายุ 60)
คนมีอายุ 90, ก็อยู่ได้อีก 30 ปี

能活到80岁,只有20年。
คนมีอายุ 80, ก็อยู่ได้อีก 20 ปี

临走时却什么都带不走
ขณะจากไป, ก็เอาอะไรไปไม่ได้

所以不必太节省
ฉะนั้นจงอย่าประหยัดจนเกินไป

该花的钱要花
สมควรใช้จ่ายก็ใช้ซะ

该享受的要享受
สิ่งใดสมควรเสพสุข, ก็จงเสพซะ

该捐助的要捐助
บริจาคได้ก็ทำซะ

唯独不能留太多钱给儿孙
ระวังอย่างเดียวเงินทองไม่ควรเหลือให้ลูกหลานมากเกินไป

免得把他们惯成 寄生虫
จะได้ไม่ทำให้เขาทั้งหลายกลายเป็น กาฝาก

不必对死后的事考虑太多
อย่าไปสนใจเรื่องหลังตายแล้วจะเป็นยังไง

因为变成灰的你,对表扬与批评已无感觉
เพราะเมื่อร่างเป็นเถ้าถ่าน, จะไม่รู้สึกถึงคำเยินยอและคำนินทา

不必对儿女的事考虑太多
อย่าไปใส่ใจเรื่องของลูกๆ

儿孙自有儿孙福
休为儿孙做马牛
ลูกหลานก็มีทางรอดของเขาเอง

他们养了孩子,让他们自己照顾
เมื่อเขามีลูก, จงปล่อยให้เขาไปดูแลกันเอง

或用自己的钱顾保姆照顾
หรือไม่ก็ให้เขาไปจ้างพี่เลี้ยงกันเอง

不要让他们再剥夺 父母剩下不多的健康-休息-娱乐-旅游权
ไม่ควรมากินแรง มาเบียดเบียนสิทธิความสุขท่องเที่ยว และสุขภาพของพ่อแม่ที่เหลือน้อยลงเต็มที

不要对儿女幻想太多
เราอย่าไปจินตนาการแทนลูกๆ

儿女有孝心,但工作太忙,帮不了你
ลูกที่มีความกตัญญู, เขาต้องทำงาน, ไม่ว่างพอที่จะมาช่วยเหลือคุณ

不孝的儿女 也许盼你早死,好早日继承你的财产
ส่วนลูกที่ไม่กตัญญู, อาจแช่งให้คุณรีบตายเพื่อจะได้สมบัติไวๆ

挣钱到何时 何数 才算够
การหาเงิน, จะต้องหาถึงเมื่อไหร่, หาจำนวนเท่าไหร่
จึงจะพอ

良田万顷,日食三餐
มีที่นาเป็นหมื่นไร่, ก็กินแค่สามมื้อ

高楼千间,夜眠八尺
มีบ้านเป็นพันหลัง, ก็นอนแค่เตียงแปดฟุต

够吃够用就行了,愉快地活着
พอกินพอใช้ก็ดีแล้ว, อยู่อย่างมีความสุข

虽然家家有一本难念经
แม้นว่าแต่ละครอบครัวต่างก็มีปัญหาที่ไม่เหมือนกัน

不要和别人比名利 地位
儿孙如何有出息,等等
ไม่ต้องไปเทียบชื่อเสียงหรือฐานะหรือเทียบลูกเรากับกับคนอื่นเขา

而要比 谁活得更健康-长寿-快乐
แต่ควรเปรียบว่าใครจะมีอายุ วรรณะ สุขะ พละมากกว่ากัน

你无力改变的事,就不必操心,因为操心也无用
อย่าไปกังวลเรื่องที่แก้ไขไม่ได้, กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์

只有心境好,每天想愉快的事
มีอารมณ์ที่ดี, คิดแต่เรื่องที่มีความสุข

自己找乐趣,就能天天都过得快乐
หาความเปรมปรีย์ให้กับตัวเองทุกวัน

过一天 少一天
ผ่านไป 1 วัน, นั่นคือหดหายไป 1 วัน

过一天 乐一天
ผ่านไป 1 วัน, นั่นคือมีสุข 1 วัน

乐一天 赚一天
มีสุข 1 วัน, นั่นคือกำไร 1 วัน

精神好 病不到
สติดี โรคาไม่มา

精神好 病能好
สติดี โรคาหายหน้า

精神好 病早好
สติดี โรคาบอกลา

常见阳光
适当运动
饮食均衡食物多样化
เจอแดดบ่อยๆ, ออกกำลังกายพอเหมาะ, ทานอาหารครบหมู่

心情愉快,盼能健康地活二 三十年
จิตใจร่าเริง, แข็งแรง อยู่ไปอีก 20-30 ปี

活得开心就好,不必计较太多
เบิกบานใจก็พอแล้ว, อย่าไปตอแยให้มากเรื่อง

是你的,跑不掉也抢不了
สิ่งใดที่เป็นของคุณ, ใครก็แย่งไปไม่ได้

不是你的,得到了也会飞掉
สิ่งใดที่ไม่ใช่ของคุณ, ถึงได้มา, ไม่ช้าก็บินหาย

人近60了,就好好享受晚年的生活
คนใกล้ 60, เสพสุขบั้นปลายชีวิต

让自己每一天都过得充实而有趣
เพื่อตัวเอง ผ่านเวลาที่มีสุขเต็มเปี่ยมทุกวัน