รวบรวมบรรดาข้อความส่งต่อ จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ เก็บไว้ตรวจทานได้ภายหลัง
Wednesday, October 25, 2017
เรื่องต้องรู้!! เหตุที่ไม่ควรไหว้ใครในพระราชพิธีฯ ที่พระเจ้าแผ่นดินประทับเป็นองค์ประธาน
http://www.praew.com/130313/king-of-thailand/details-4/
Thursday, September 28, 2017
ระวัง !! โดนกับตัว มีของมาส่งจากจีนผ่านทาง Kerry Express เก็บเงินปลายทาง 1,680 บาท !!!
เหยื่อ คือ ผู้รับ(เรา) และ Kerry Express
คนเลวคือ คนส่งสินค้าจากจีน (จากประเทศอื่นก็มีนะ)
วิธีการคือ คนเลวพวกนี้ไปเอา database มาจากไหนไม่รู้ สุ่มส่งมั่วไปยังที่ต่างๆในไทย ใครไม่ทันคิดไปเซ็นรับก็ต้องจ่ายเงิน เปิดออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้มูลค่าไม่เกินร้อยบาท Kerry ก็ซวยไป รับเรื่องร้องเรียนจนแน่น (เดี๋ยวมาเล่าต่อ)
..... (full story in linked Blogspot)
http://someone-said.blogspot.com/2017/09/blog-post.html
ระวัง! ของมาส่งจากจีนเก็บเงินปลายทาง
ระวัง !! โดนกับตัว มีของมาส่งจากจีนผ่านทาง Kerry Express เก็บเงินปลายทาง 1,680 บาท !!!
เหยื่อ คือ ผู้รับ(เรา) และ Kerry Express
คนเลวคือ คนส่งสินค้าจากจีน (จากประเทศอื่นก็มีนะ)
วิธีการคือ คนเลวพวกนี้ไปเอา database มาจากไหนไม่รู้ สุ่มส่งมั่วไปยังที่ต่างๆในไทย ใครไม่ทันคิดไปเซ็นรับก็ต้องจ่ายเงิน เปิดออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้มูลค่าไม่เกินร้อยบาท Kerry ก็ซวยไป รับเรื่องร้องเรียนจนแน่น (เดี๋ยวมาเล่าต่อ)
(เล่าต่อ) วิธีการของพวกนี้คือ ซื้อโอกาสลักไก่โดยส่งของมั่วๆไปยังผู้รับ โดยมีคำสั่งฝากส่งให้ Kerry เรียกเก็บเงินปลายทางในอัตราตั้งแต่ 900 จนถึง เกือบสองพันบาทต่อชิ้น (รายชื่อและเบอร์โทรผู้รับ มันเอามาจากไหน คงต้องสืบกันต่อไป) บางคนที่งงๆ และเห็นว่าชื่อตรงเบอร์โทรตรงที่อยู่ตรง และเห็นว่ายอดเงินไม่มากนัก ก็ยอมจ่ายให้แก่พนักงาน Kerry ที่มีหน้าที่เก็บเงินและนำส่งเข้าระบบ ซึ่งโดยกฏหมายและสัญญาการฝากส่งของ Kerry ผู้รับไม่สามารถแกะหีบห่อออกดูก่อนที่จะจ่ายเงินได้ ฉะนั้น พอจ่ายเงิน บางคนก็แกะดูเลย บางคนก็เก็บไว้แกะทีหลัง บางคนก็รับแทนญาติหรือคนในครอบครัวที่มีชื่อตามจ่าหน้า ไอ่ที่แกะดูเลยก็จะเห็นว่าของนี่มันขยะนี่หว่า มูลค่าไม่เกินร้อยบาท ไอ้ที่รับไว้แทน หรือที่ยังไม่แกะดูกว่าจะรู้ ก็อาจจะเลยกำหนดที่จะแจ้งไปยัง Kerry ว่าของส่งมาผิดไปจากที่สั่ง หรือจริงๆแล้วไม่ได้สั่ง เงินก็ถูกโอนจาก Kerry ไปยังไอ้ขี้โกงในประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว
พวกนี้หวังผลเพียงหากครึ่งหนึ่งของของที่มันส่งมั่วๆไป มีคนรับหรือรับแทน มันก็คุ้มค่าการลงทุนในกลโกงของมันแล้ว ลองนึกดูว่า หากมันส่งผ่าน Kerry สัก 200 กล่อง ค่าส่งกล่องละ 100 บาท ค่าขยะกับค่าแพคกล่องอีกสัก 50 บาท + ค่าเสียเวลาของมัน มันก็ลงทุนเพียง 20000-30000 บาท แต่หากในสองร้อยกล่องนี้มีคนหลงเชื่อสักครึ่งนึงที่ยอมจ่ายเงิน ก็เท่ากับ 100 x 1500 บาท (โดยเฉลี่ยต่อราย) มันก็จะได้เงินไป 150,000 บาทเลยทีเดียว
เรื่องร้องเรียนจากเหตุการณ์แบบนี้ มีไปถึง Kerry ทุกวันและเป็นจำนวนที่มากขึ้น วันนี้ผมโชคดี เพราะเอะใจว่า ผมไม่เคยซื้อของออนไลน์แบบเก็บเงินปลายทางเลย (ยกเว้นคอร์สเรียนเปียโน และ Advanced Excel เท่านั้น) และเก็บหลักฐานการซื้อขายไว้เสมอในอีเมลและใน OneDrive พอมี จนท Kerry มาส่งหน้าบ้านพร้อมแจ้งยอดว่ามีต้องชำระ 1680 บาท ผมจึงสงสัย และขอถ่ายรูปหน้ากล่องพร้อมรายละเอียดไว้ก่อน แล้วบอกน้องที่มาส่งว่า
ให้ไปส่งที่อื่นก่อน หากผมตรวจสอบแล้วได้ผลเป็นเช่นไร จะโทรไปหาตามเบอร์ที่น้องเค้าโทรเข้ามาถามพิกัดบ้านก่อนเข้ามาส่ง ผมจึงโทรไปที่ ศูนย์ร้องเรียนของ Kerry เพื่อถามว่าเลขพัสดุที่ส่งมาให้ และได้รับคำตอบว่า คุณทำถูกแล้ว มีกรณีแบบนี้เยอะมาก และมีผู้เสียหายเป็นจำนวนเงินรวมๆกันเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่แน่ใจว่ามีสั่งของแบบเก็บเงินปลายทาง ให้แจ้งปฏิเสธกับพนักงานผู้นำส่งได้เลย ทางพนักงานศูนย์ร้องเรียน ยังขอให้ช่วยกระจายข่าวให้ทราบกันต่อไปด้วย ทาง Kerry กำลังหามาตรการ และวิธีการจัดการกับพวก 18 มงกุฎที่มองเห็นช่องโหว่ในบริการการรับส่งพัสดุระหว่างประเทศอยู่
จบ
ยุทธา ไกรณรงค์
27 กย 2560
Wednesday, August 23, 2017
Tuesday, August 22, 2017
Monday, August 7, 2017
เกมคิดดี
มาฝึกคิด+กันครับ
####
“ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหารดีแทคพูดเรื่อง “เกมคิดดี” ในงาน Ignite Thailand
“คิดดี-คิดบวก”
เขาเชื่อว่าฝึกได้
“ธนา” เล่าถึงทีมขายเคลื่อนที่ของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เงินเดือนน้อยที่สุดขององค์กร แต่ทำงานหนักที่สุด
แต่ปรากฏว่าน้องกลุ่มนี้เป็นคนที่มีพลังมาก ไม่เคยบ่น และเมื่อว่างจากการทำงานก็มีจิตสาธารณะไปช่วยชุมชนกวาดลานวัด
“ธนา” สงสัยมานาน ว่าทำไมคนกลุ่มนี้จึงมี “ทัศนคติ” ที่ดี
จนเมื่อเขาได้คลุกคลีกับน้องๆ กลุ่มนี้
“ธนา” จึงได้รู้จัก “เกมคิดดี”
เกมนี้น้องๆ จะเล่นกันเป็นประจำตอนพัก มีกติกาคือให้ทุกคนคิดถึงทุกอย่างในแง่ดี
หัวหน้าจะตั้งคำถาม
“แดดออกดีอย่างไร?”
น้องคนหนึ่งยกมือ
"ดีเพราะชาวบ้านจะมาที่ตลาด ทุกคนมารวมตัวกันที่เดียว ไม่ต้องไปขายไกลๆ"
“ฝนตกดีอย่างไร”
อีกคนหนึ่งตอบ “ฝนตก คนออกจากบ้านไม่ได้ เราจะมีโอกาสคุยกับลูกค้านานขึ้น”
“หมาเห่าดีอย่างไร”
คราวนี้เริ่มยาก ทุกคนหันไปมองหน้ากัน แล้วคนหนึ่งก็คิดได้
“เราจะไม่เจ็บคอตะโกนเรียก เพราะเจ้าของบ้านจะเดินออกมาเอง”
โหย…ใช้ได้
หา “มุมบวก” เก่งจริงๆ
“ธนา” เชื่อว่า “ทัศนคติ” เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต
หลักคิดของเขาก็คือ ถ้าเราไม่ชอบอะไรก็ตาม ให้พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ได้
แต่ถ้ายังเปลี่ยนไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อสิ่งนั้น
“ธนา” เชื่อว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นทั้ง “พรสวรรค์” และ “พรแสวง”
ใครที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็ถือว่าเป็นคนโชคดี
แต่ถ้าใครไม่มีเรดาร์แบบนี้ติดตัวมา เขาก็เชื่อว่าสามารถฝึกฝนได้
แล้ว “ธนา” ก็เริ่มต้นเล่น “เกมคิดดี” บนรถกับลูกสาวทั้ง 2 คน
คนหนึ่งอายุ 7 ขวบ อีกคนอายุ 5 ขวบครึ่ง
เขาบอกลูกๆว่าลองคิดทุกอย่างในแง่บวก หา “ข้อดี” ของทุกเรื่องราวในชีวิตให้เจอ
ถามว่าอยู่ที่บ้านดีอย่างไร
“มีของเล่นเยอะ”
อยู่ที่โรงเรียนดีอย่างไร
“ได้เจอเพื่อน”
“แล้วรถติดดีอย่างไร”
คราวนี้ลูกสาวทั้ง 2 คนเริ่มโยเย เพราะแต่ละคนเบื่อสภาพรถติดมาก จะบ่นตลอดเวลา
“ไม่เห็นมีอะไรดีเลย” ลูกคนโตเริ่มโวย
“ไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเราเล่นเกมคิดดี” คุณพ่อไม่ยอม
ลูกสาวคนเล็กนั่งคิดอยู่แวบหนึ่งแล้วก็ยกมือ
“พ่อ หนูคิดออกแล้ว รถติดมีข้อดี เพราะพ่อจะได้หันหน้ามาคุยกับหนู”
น่ารักมาก…
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่รถติด ลูกสาวทั้ง 2 คน จะตะโกนลั่นรถ
“รถติดแล้ว คุณพ่อหันมาคุยหน่อย”
ลูกสาวของ “ธนา” ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชื่อดังแถวชิดลม ซึ่งก็ไม่ไกลจากออฟฟิศของเขา อาคารจามจุรี สแควร์ ใกล้สวนลุมพินี
ตอนที่รู้ว่าลูกสอบติดที่ “มาแตร์” ด้านหนึ่งก็ดีใจ แต่ด้านหนึ่งก็ทุกข์ใจ เพราะต้องไปส่งลูกสาวทุกเช้า
จากเดิมตื่น 7 โมง ก็ต้องตื่นตี 5 ครึ่ง เพื่อไปส่งลูกให้ทันเข้าเรียน 7 โมง
สัปดาห์แรก “ธนา” ทุกข์หนัก และคิดในแง่ลบว่าชีวิตของเขาต้องเป็นอย่างนี้อีก 12 ปี เชียวหรือ
แต่เมื่อตั้งหลักได้ เขาก็เริ่ม “เกมคิดดี”
เขาใช้เวลาช่วงส่งลูกเสร็จ ก่อนเข้าทำงาน ไปวิ่งที่สวนลุมพินี
เช้าวันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทายเขา “ประเสริฐ” เป็นนักวิ่งระดับแข่งมาราธอน
เขาวิ่งทุกเช้าวันละ 40 นาที ระยะทาง 10 กิโลเมตร
“ตอนแรกผมวิ่งแค่ 300 เมตร ก็จะเป็นลม แต่ตอนนี้วิ่งทุกเช้ามา 4 ปีแล้ว”
“ธนา” เริ่มเอะใจ จึงถามถึงเหตุผลที่ “ประเสริฐ” หันมาวิ่ง
“ลูกสาวผมเรียนที่มาแตร์” เขาตอบ
“ลูกพี่อยู่ ป.4 ใช่ไหม” ธนาถาม
“ใช่” ประเสริฐทำหน้างงๆ “คุณธนารู้ได้ไง”
“ธนา” ไม่ได้เล่าต่อ
แต่เขาจบเรื่องเล่าบนเวทีด้วยการทำนายอนาคตตัวเอง
“ผมรู้แล้วว่าอีก 4 ปี ผมจะเป็นนักวิ่งมาราธอนแน่นอน”
นิทาน เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า เราเปลี่ยน โลก ไม่ได้ แต่ เราเปลี่ยน วิธีคิด เราได้ มาฝึก คิดบวก กันเถอะ
Sunday, August 6, 2017
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
เรื่องนี้ประทับใจผมมาก ย้อนกลับมาอ่านทีไรก็มีความสุข
"แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป".........จากข้อเขียนของคุณพิษณุ นิลกลัด ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง....
สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวด และงานเผาศพ ผู้ชายวัย 81 ปี ที่ผมรู้จักเขา มายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วัน เขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้ วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้ เพียงแต่เขาอยู่หัวแถว เลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา
งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือ เมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพ ที่มีคนไปร่วมงาน น้อยที่สุด เท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่ม เป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วย เกือบทุกเย็นคนหนึ่ง อีกคนเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน งวดละสองใบ และคนสุดท้ายเป็นหญิง ที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโต ทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่า เกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยม ที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่า เสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถาม เจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงาน จ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็น งานศพที่มีคนน้อย แบบที่ผมก็รู้สึก ตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้ว ผู้ตายเป็นคน ค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย จนเกษียณอายุในตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
แต่ด้วยความที่รัก และศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือดร้อน - แม้กระทั่งวันตาย
ผมสนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็ก อยากเป็นนักประพันธ์ แบบ "ไม้ เมืองเดิม" ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอ และวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าว ก็เลยถูกชะตา และให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุย กับเขาตามวาระโอกาส ตลอด 30 ปี ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต
วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมย ยกชุดกอล์ฟของผม ไปสองชุด ราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า "ของที่หาย เป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็น สำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"
เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้ มากมาย
เป็นต้นว่า "สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่า เราจะเลือกหยิบ เลือกคว้าอะไร"
คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้า แต่ความสุข
ช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชาย ขับรถพาเที่ยว ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วย ตลอดเวลา
เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือน สุดท้ายของชีวิต ต้องนอนโรงพยาบาล สามวัน นอนบ้านสี่วัน สลับกันไป
เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูก รวมทั้งผมด้วย ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกัน ไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาทีที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ จากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตา ไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"
พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่า ทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลัง ใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"
เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คน ไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้ หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถ ถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ ขับวนรอบหมู่บ้าน เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงิน ตามมิเตอร์ !
4 เดือนสุดท้ายของชีวิต แพทย์ที่รักษาโรคไตมา ตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น
จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัว ในโรงพยาบาลให้แข็งแรง แล้วค่อยกลับบ้าน
แต่อยู่ได้แค่ 4 วัน เขาวิงวอนหมอว่า ขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปี ไม่ยอม
เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า "ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่า คนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงาน หมอก็กลับบ้าน"
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจ ตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะ ของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียว คือ กะพริบตา แต่แพทย์บอกว่า สมองของเขายังดีมาก
เวลาลูกเมียพูดคุยด้วย ต้องบอกว่า "ถ้าได้ยิน พ่อกะพริบตาสองที"
เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็นแล้วทั้งดีใจ และใจหาย
เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่า ถูกขังในร่างของตนเอง
สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"
เขาไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สองเดือน เคยตอบว่า "สู้"
เขาสู้กับสารพัดโรค ด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า "คุณลุงแกสู้จริงๆ"
ตอนที่วางดอกไม้จันทน์
ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูก เมื่อสี่เดือนก่อนว่า
"โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจ ของเราไปด้วย"
แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป
สอนให้เรารู้ว่า…
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์
ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกาย และจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้ อย่างที่สมองสั่ง
จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่น อย่างพอเพียง และดำรงชีวิต อย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ
หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด… อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกาย ที่จะลุกในทันที แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ถ้าเราเรียนรู้…ก็จะทำให้เราพบว่า
เจ็บ ทำให้
การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
พิษณุ นิลกลัด
Thursday, July 27, 2017
OPD NAPHA
เสียงกระซิบ
จากหมอที่แม่สอด
และคนทำงานทั้งหลาย
....จะดังให้ทุกคนได้ยินได้อย่างไร
วันนี้ออก OPD NAPHA นั่นคือห้องตรวจผู้ป่วยโรคติดเชื้อเอชไอวี เป็นคิวของผู้ป่วย NAPHA extension คือกลุ่มผู้ป่วย migrant ชาวกะเหรี่ยง พม่า ที่ไม่ใช่คนไทยที่มาขอใช้สิทธิ์รับยาที่ รพ แม่สอด
ภารกิจประจำวันของฉันค่อนข้างยุ่งเหยิง ตอนเช้าต้องไปราวน์ICU ราวน์วอร์ดเกือบ 30 เตียงสอนนักศึกษาแพทย์ ราวน์วอร์ดพิเศษ สะสางงานที่รับผิดชอบที่ต้องจัดการในเช้าวันนั้น ทำให้วันนี้ลง OPDเกือบ 10.30 น คนไข้งดน้ำงดอาหารมารอตั้งแต่ 6 โมงใครมาก่อนได้ตรวจก่อนตามคิว
ฉันมาถึง..คนไข้นั่งรอเป็นระเบียบ ไม่มีใครพูดเลยสักคนเงียบกริบ
คนไข้เข้ามาตรวจทีละคน ส่วนใหญ่ต้องใช้ล่าม แทบไม่มีการปรับยาสำหรับ OPD นี้ ไขมันในเลือดเป๊ะ เบาหวานคุมได้เป๊ะ ไวรัสกดได้ตลอด คนไข้เกือบ 60 คนใช้เวลาตรวจไม่ถึงสองชั่วโมง
ตอนฉันยื่นใบสั่งยาให้คนไข้ไปรับยา คนไข้ทุกคนยกมือไหว้ เอามือข้างหนึ่งแตะที่ศอกอีกข้างราวกับรับของจากพระผู้ใหญ่ บางคนมีย่อถอนสายบัวด้วย ถ้าไม่มาเห็นด้วยตาตัวเองจะหาว่าโอ้อวดเกินจริง....
คนไข้ส่วนใหญ่ห่อข้าวมากิน ไม่รีบไม่ร้อน หมอมาเมื่อไหร่ก็ได้ ได้ยาเมื่อไหร่ก็ได้แม้ว่าค่ำนี้ยังไม่รู้จะนอนที่ไหนเพราะบ้านอยู่ฝั่งพม่าไกลโพ้น ..เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดี
นึกแล้วมันช่างแตกต่างจากสังคมไทยปัจจุบันที่มีคนจำนวนมากลุกขึ้นมาด่าหมอ ด่าพยาบาลกันปาวๆ ยังกับเป็นบุคคลน่ารังเกียจ
ยอมรับว่าไม่ได้อ่านทั้งหมด อ่านเพียงเล็กน้อยก็ยังรู้สึกได้ถึงความเสื่อมศรัทธาต่อวงการแพทย์..ไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุ เพราะส่วนตัวเอง และเพื่อนแพทย์ใกล้ชิดก็ไม่มีใครทำอะไรผิดจากจรรยาบรรณที่พึงมี แพทย์พยาบาลไทยยังทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเหมือนเดิมซ้ำยังพยายามพัฒนาศักยภาพให้มากขึ้นตามโลกยุคใหม่
แพทย์ไทยไม่ได้เปลี่ยนไป...แต่สายตาที่มองมาคู่นั้นต่างหากที่เปลี่ยนแปลง
รพ แม่สอดได้เงินจากคนต่างชาติโดยเฉพาะชาวพม่ารวม 110,000,000 บาทต่อปีพอๆกับที่ได้เงินจากคนไทยจากกองทุนบัตรทอง ดังนั้นคนพม่าเขามาซื้อบริการเราทั้งนั้นแต่การปฏิบัติต่อหมอไทยประดุจเราเป็นเทพเจ้า
มีคนไข้หนุ่มน้อยอายุ 16 ปีมาด้วย Encephalitis สงสัยวัณโรคขึ้นสมอง โคม่ามาตั้งแต่แรกรับไปโรงพยาบาลที่เมาะละแหม่งหนึ่งสัปดาห์ไม่ดีขึ้นจึงพากันมาที่ รพ แม่สอดอย่างทุลักทุเล หายใจพะงาบๆ ใส่ท่อช่วยหายใจอยู่วอร์ดสามัญ ตอนนี้ตื่นดีเตรียม off ท่อช่วยหายใจ แพทย์ณัฐกานต์เดินไปราวน์ทีไรทุกคนในครอบครัวยกมือไหว้ท่วมหัวถ้ากราบได้คงทำไปแล้ว แววตาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ไม่เคยเรียกร้องอะไรยืนฟังแพทย์อธิบายอย่างเงียบๆ ไม่เคยร้องขอไป ICU มาถึงวันนี้ค่ารักษาแสนกว่าบาท เขาจ่ายทุกบาททุกสตางค์เพราะกลัวหมอจะทิ้งเขา...เราพูดกันคนละภาษา แต่เรื่องของศรัทธาเป็นเรื่องสากลที่เข้าใจกันได้ระหว่างมนุษยชาติ เขาวางชีวิตไว้ในมือหมอไทยที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกด้วยซ้ำ...
ในความเห็นของฉัน..วิกฤตศรัทธาในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากจรรยาบรรณแพทย์ที่เปลี่ยนไป แต่เกิดจากความไม่รู้ที่มากจนสะสมกัดกินลักษณะที่ดีของคนไทย ที่เคยคิดดีทำดีต่อกัน ที่เคยอ่อนน้อมพูดจากันด้วยภาษาไพเราะ มีเหตุมีผล เห็นอกเห็นใจกัน
สังคมชื่นชมคนดีหายไปไหน...
โชคดีที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ที่ตรงชายขอบ..ฉันจึงเห็นความแตกต่าง
ตอนเช้ามีคนรอใส่บาตรพระรายเรียงเป็นแถวรับหมอกอ่อนๆ กลางวันถีบรถจักรยานไปทำงานมีปิ่นโตคนละเถา ในวันฝนตกหนักที่อาจจะมีคนแอบแช่งฝนแต่เด็กๆอาบน้ำฝนกันอย่างสนุกสนาน มือพ่อแม่จูงลูกๆพะรุงพะรังไปดูหนังกลางแปลงทั้งครอบครัว ...
ฉันได้รู้ว่าถ้าความสุขในสังคมและครอบครัวได้มาง่ายๆ กลับไปเป็นสังคมห่อใบตองและถีบรถถีบแต่ประเทศเราอาจไม่เจริญขึ้น...ฉันจะยอมแลก
มาช่วยกันปรับปรุงสังคมไทยไหมคะ ..ไม่รู้ว่ามันจะสายเกินไปหรือยัง
Monday, July 17, 2017
วันหนึ่งเธอซื้อของเสร็จกลับมาที่ลานจอดรถพบว่ายางรถเธอแบน จึงนำแม่แรงท้ายรถเริ่มลงมือเปลี่ยนยาง...
ขณะที่จะก้าวขึ้นรถ ชายคนนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า เขาทิ้งรถตัวเองไว้อีกด้านหนึ่งของห้าง จะรังเกียจไหมถ้าขออาศัยติดรถไปที่เขาจอดรถไว้ เธอนึกฉงนจึงได้ถามว่า แล้วทำไมรถของคุณถึงได้อยู่อีกด้านหนึ่งของห้าง เขาก็อธิบายว่า พบเพื่อนเก่าได้พูดคุยกันสักครู่ ตอนออกจากห้างก็ออกผิดทางและตอนนี้เขาก็สายมากแล้ว.....
http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=1860
http://wp.me/p4YeI-2U
Saturday, July 1, 2017
เมื่อเร็วๆ นี้ ข่าวการเสียชีวิตของ มาโอะ โคบายาชิ อดีตผู้ประกาศข่าวสาวชาวญี่ปุ่น...
โรคที่คร่าชีวิตเธอเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของสังคมโลกวันนี้ นั่นคือ มะเร็ง กรณีของเธอคือ มะเร็งเต้านม
อ้างอิงจากสถิติในสหรัฐอเมริกา และไทย (ปี 2557) มะเร็งที่ผู้หญิงอเมริกันเป็นมากที่สุดสามอันดับแรก คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด (รวมหลอดลม) และ มะเร็งลำไส้ (รวมทวารหนัก)
ส่วนหญิงไทย มะเร็งเต้านม เป็นอันดับ 1 เช่นกัน ตามด้วย มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับกับทางเดินน้ำดี
แต่สถิติการตายจากมะเร็งของหญิงอเมริกัน มากที่สุดคือ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ (ของไทยผมยังหาสถิติไม่เจอ)
ส่วนผู้ชายอเมริกัน มะเร็งที่เป็นกันมากที่สุดสามอันดับแรก คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ แต่สถิติการตายมากที่สุดก็สลับกัน คือ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้
ผู้ชายไทยเป็น มะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ (แต่ตายด้วยอะไรมากกว่ากัน ผมยังหาสถิติไม่เจอเช่นกัน)
จับสังเกตจากสถิตินี้แบบคร่าวๆ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ เป็นกันทั้งเพศชายและเพศหญิงเหมือนกัน ส่วนมะเร็งร้ายที่เป็นกันมากเกิดในอวัยวะเฉพาะตามเพศ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก
สำหรับคนไทย มะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยติดอันดับ 1 ประมาณ 6 หมื่นคนต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 7 ราย
คงไม่ต้องอ้างอื่นไกล ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านทุกคนล้วนมีญาติใกล้ชิดที่อาจเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
– 9 ปีก่อน แม่ของผมก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดหลังจากการตรวจพบเพียง 3-4 เดือน-- T T
แต่ความจริงการตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตายทันที และหลายคนก็มีโอกาสหาย มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี
คำถามที่ญาติและผู้ป่วยอยากรู้ คือจะมีเวลาเหลืออยู่เท่าไร จึงมาจากความคิดหรือการตั้งสมมติฐานว่าเป็นมะเร็งตายแน่
คำถามคือ เราควรถามคำถามนั้นหรือไม่ และคำตอบจากหมอว่าจะอยู่ได้ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หมายถึงอะไร
คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ นายแพทย์ผู้ทำให้เกิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ซึ่งกลายมาเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค) เขียนบันทึกไว้ก่อนท่านจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไว้ในหนังสือชื่อ “เปลี่ยนมะเร็งเป็นพลัง” ต่อประเด็นนี้ว่า
“ผมอยากจะบอกคนไข้ทั้งหลายว่า คำถามเช่นนี้มันเป็นคำถามที่ไม่ควรจะถามนะครับ...เพราะว่าในภายหลังที่ผมได้ศึกษาข้อมูลมากขึ้นก็รู้ว่าสถิติมันไม่มีความแน่นอน และในทางการแพทย์ก็ไม่เคยหยุดยั้งที่จะศึกษาค้นคว้ายาหรือแผนการรักษาใหม่ๆ ดังนั้นตัวเลขสถิติที่หมอบอกเราก็มาจากการศึกษาวิจัยในอดีตเก่าบ้างใหม่บ้างแต่ที่แน่ๆ ก็คือสถิตินั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”
“ประเด็นหนึ่งที่ผมประจักษ์กับตัวเองก็คือ ถ้าเราไปเชื่อเรื่องสถิติมากเกินไปมันก็ทำให้คนไข้ซึ่งหวั่นไหวอยู่แล้วหวั่นไหววิตกกังวลมากขึ้น เพราะฉะนั้นการที่ไปซ้ำเติมคนไข้ด้วยข้อมูลที่ทำให้คนไข้จิตใจไม่ดีมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร...การไปให้สถิติตัวเลขที่บ่งชี้เท่านั้นเท่านี้อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าที่เราคิด และที่จริงแล้วก็เป็นตัวเลขเฉลี่ย บางคนอาจจะดีกว่านั้น บางคนอาจจะแย่กว่านั้น มันไม่ใช่สถิติที่ทุกคนจะตรงกันอย่างนั้นหมด”
ผมขออ้างอิงอีกข้อมูลหนึ่งจากหนังสือ “95% รักษามะเร็งผิดวิธี” เขียนโดยนายแพทย์จินอิจิ นะคะมุระ อธิบายถึงกรณีตัวอย่างเมื่อหมอที่รักษาคนไข้บอกคนไข้รายหนึ่งว่า “ถ้าไม่ทำคีโมก็จะอยู่ต่อได้อีกแค่ครึ่งปี” ว่า
“ไม่ได้หมายความว่าภายในระยะเวลาครึ่งปีจะไม่มีใครเสียชีวิตเลย แต่ทันทีที่พ้นครึ่งปีไปแล้วก็จะเสียชีวิตปุบปับกันหมดหรอกนะครับ...แต่จริงๆ แล้วหมายความว่า ผู้ป่วยบางรายอาจเสียชีวิตทันทีที่เริ่มการรักษาด้วยคีโม และหลายรายก็ทยอยเสียชีวิตไปเรื่อยๆ จนเมื่อเวลาผ่านไปได้ครึ่งปี จำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นถึง 50% ต่างหากครับ”
ถ้าเชื่อตามหมอจินอิจิ หมายความว่า ตัวเลขที่หมอตามโรงพยาบาลบอกเราเป็นแค่ค่ากลางเท่านั้น คือถ้าบอกว่าจะมีชีวิตได้อีก 1 ปีก็หมายความว่าคนป่วยที่คล้ายกันครึ่งหนึ่งจะตายใน 1 ปี และอีกครึ่งหนึ่งจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป และอาจอยู่ได้ 3-5 ปีโดยปล่อยมะเร็งไว้ไม่ต้องรับการรักษาเลยก็เป็นไปได้
หมอสงวนยังบอกว่า “มะเร็งเป็นโรคที่แสดงถึงสภาวะทางจิตวิญญาณชัดกว่าโรคอื่นทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจึงจำเป็นต้องรักษาจิตวิญญาณให้ดี”
ขณะที่การรู้ตัวเลขว่าจะอยู่ได้อีกเท่าไรๆ ก็มีโอกาสทำให้จิตตกได้ง่ายๆ
.…….….
เรื่องของมะเร็งและการรักษายังเป็นเรื่องสลับซับซ้อนมากครับ
ที่เขียนมาก็หวังว่าจะเป็นข้อมูลไว้พิจารณาอีกด้านหนึ่ง
ส่วนการตัดสินใจว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรคงขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคน
***
#พุธไซแอนซ์ #คอลัมน์เว็บไซต์ ติดปีกความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทุกวันพุธ เพราะเทพเจ้าประจำดาวพุธคือ Mercury บุรุษเทพแห่งการสื่อสารที่ไปได้เร็วเท่าความคิด โดย #สุวัฒน์อัศวไชยชาญ
#วิทยาศาสตร์ #มะเร็ง
ภาพ : 123rf.com
http://www.sarakadee.com/2017/06/28/cancer/