รวบรวมบรรดาข้อความส่งต่อ จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ เก็บไว้ตรวจทานได้ภายหลัง
Wednesday, August 23, 2017
Tuesday, August 22, 2017
Monday, August 7, 2017
เกมคิดดี
มาฝึกคิด+กันครับ
####
“ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหารดีแทคพูดเรื่อง “เกมคิดดี” ในงาน Ignite Thailand
“คิดดี-คิดบวก”
เขาเชื่อว่าฝึกได้
“ธนา” เล่าถึงทีมขายเคลื่อนที่ของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เงินเดือนน้อยที่สุดขององค์กร แต่ทำงานหนักที่สุด
แต่ปรากฏว่าน้องกลุ่มนี้เป็นคนที่มีพลังมาก ไม่เคยบ่น และเมื่อว่างจากการทำงานก็มีจิตสาธารณะไปช่วยชุมชนกวาดลานวัด
“ธนา” สงสัยมานาน ว่าทำไมคนกลุ่มนี้จึงมี “ทัศนคติ” ที่ดี
จนเมื่อเขาได้คลุกคลีกับน้องๆ กลุ่มนี้
“ธนา” จึงได้รู้จัก “เกมคิดดี”
เกมนี้น้องๆ จะเล่นกันเป็นประจำตอนพัก มีกติกาคือให้ทุกคนคิดถึงทุกอย่างในแง่ดี
หัวหน้าจะตั้งคำถาม
“แดดออกดีอย่างไร?”
น้องคนหนึ่งยกมือ
"ดีเพราะชาวบ้านจะมาที่ตลาด ทุกคนมารวมตัวกันที่เดียว ไม่ต้องไปขายไกลๆ"
“ฝนตกดีอย่างไร”
อีกคนหนึ่งตอบ “ฝนตก คนออกจากบ้านไม่ได้ เราจะมีโอกาสคุยกับลูกค้านานขึ้น”
“หมาเห่าดีอย่างไร”
คราวนี้เริ่มยาก ทุกคนหันไปมองหน้ากัน แล้วคนหนึ่งก็คิดได้
“เราจะไม่เจ็บคอตะโกนเรียก เพราะเจ้าของบ้านจะเดินออกมาเอง”
โหย…ใช้ได้
หา “มุมบวก” เก่งจริงๆ
“ธนา” เชื่อว่า “ทัศนคติ” เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต
หลักคิดของเขาก็คือ ถ้าเราไม่ชอบอะไรก็ตาม ให้พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ได้
แต่ถ้ายังเปลี่ยนไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อสิ่งนั้น
“ธนา” เชื่อว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นทั้ง “พรสวรรค์” และ “พรแสวง”
ใครที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็ถือว่าเป็นคนโชคดี
แต่ถ้าใครไม่มีเรดาร์แบบนี้ติดตัวมา เขาก็เชื่อว่าสามารถฝึกฝนได้
แล้ว “ธนา” ก็เริ่มต้นเล่น “เกมคิดดี” บนรถกับลูกสาวทั้ง 2 คน
คนหนึ่งอายุ 7 ขวบ อีกคนอายุ 5 ขวบครึ่ง
เขาบอกลูกๆว่าลองคิดทุกอย่างในแง่บวก หา “ข้อดี” ของทุกเรื่องราวในชีวิตให้เจอ
ถามว่าอยู่ที่บ้านดีอย่างไร
“มีของเล่นเยอะ”
อยู่ที่โรงเรียนดีอย่างไร
“ได้เจอเพื่อน”
“แล้วรถติดดีอย่างไร”
คราวนี้ลูกสาวทั้ง 2 คนเริ่มโยเย เพราะแต่ละคนเบื่อสภาพรถติดมาก จะบ่นตลอดเวลา
“ไม่เห็นมีอะไรดีเลย” ลูกคนโตเริ่มโวย
“ไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเราเล่นเกมคิดดี” คุณพ่อไม่ยอม
ลูกสาวคนเล็กนั่งคิดอยู่แวบหนึ่งแล้วก็ยกมือ
“พ่อ หนูคิดออกแล้ว รถติดมีข้อดี เพราะพ่อจะได้หันหน้ามาคุยกับหนู”
น่ารักมาก…
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่รถติด ลูกสาวทั้ง 2 คน จะตะโกนลั่นรถ
“รถติดแล้ว คุณพ่อหันมาคุยหน่อย”
ลูกสาวของ “ธนา” ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชื่อดังแถวชิดลม ซึ่งก็ไม่ไกลจากออฟฟิศของเขา อาคารจามจุรี สแควร์ ใกล้สวนลุมพินี
ตอนที่รู้ว่าลูกสอบติดที่ “มาแตร์” ด้านหนึ่งก็ดีใจ แต่ด้านหนึ่งก็ทุกข์ใจ เพราะต้องไปส่งลูกสาวทุกเช้า
จากเดิมตื่น 7 โมง ก็ต้องตื่นตี 5 ครึ่ง เพื่อไปส่งลูกให้ทันเข้าเรียน 7 โมง
สัปดาห์แรก “ธนา” ทุกข์หนัก และคิดในแง่ลบว่าชีวิตของเขาต้องเป็นอย่างนี้อีก 12 ปี เชียวหรือ
แต่เมื่อตั้งหลักได้ เขาก็เริ่ม “เกมคิดดี”
เขาใช้เวลาช่วงส่งลูกเสร็จ ก่อนเข้าทำงาน ไปวิ่งที่สวนลุมพินี
เช้าวันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทายเขา “ประเสริฐ” เป็นนักวิ่งระดับแข่งมาราธอน
เขาวิ่งทุกเช้าวันละ 40 นาที ระยะทาง 10 กิโลเมตร
“ตอนแรกผมวิ่งแค่ 300 เมตร ก็จะเป็นลม แต่ตอนนี้วิ่งทุกเช้ามา 4 ปีแล้ว”
“ธนา” เริ่มเอะใจ จึงถามถึงเหตุผลที่ “ประเสริฐ” หันมาวิ่ง
“ลูกสาวผมเรียนที่มาแตร์” เขาตอบ
“ลูกพี่อยู่ ป.4 ใช่ไหม” ธนาถาม
“ใช่” ประเสริฐทำหน้างงๆ “คุณธนารู้ได้ไง”
“ธนา” ไม่ได้เล่าต่อ
แต่เขาจบเรื่องเล่าบนเวทีด้วยการทำนายอนาคตตัวเอง
“ผมรู้แล้วว่าอีก 4 ปี ผมจะเป็นนักวิ่งมาราธอนแน่นอน”
นิทาน เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า เราเปลี่ยน โลก ไม่ได้ แต่ เราเปลี่ยน วิธีคิด เราได้ มาฝึก คิดบวก กันเถอะ
Sunday, August 6, 2017
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
เรื่องนี้ประทับใจผมมาก ย้อนกลับมาอ่านทีไรก็มีความสุข
"แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป".........จากข้อเขียนของคุณพิษณุ นิลกลัด ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง....
สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวด และงานเผาศพ ผู้ชายวัย 81 ปี ที่ผมรู้จักเขา มายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วัน เขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้ วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้ เพียงแต่เขาอยู่หัวแถว เลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา
งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือ เมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพ ที่มีคนไปร่วมงาน น้อยที่สุด เท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่ม เป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วย เกือบทุกเย็นคนหนึ่ง อีกคนเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน งวดละสองใบ และคนสุดท้ายเป็นหญิง ที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโต ทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่า เกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยม ที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่า เสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถาม เจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงาน จ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็น งานศพที่มีคนน้อย แบบที่ผมก็รู้สึก ตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้ว ผู้ตายเป็นคน ค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย จนเกษียณอายุในตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
แต่ด้วยความที่รัก และศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือดร้อน - แม้กระทั่งวันตาย
ผมสนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็ก อยากเป็นนักประพันธ์ แบบ "ไม้ เมืองเดิม" ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอ และวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าว ก็เลยถูกชะตา และให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุย กับเขาตามวาระโอกาส ตลอด 30 ปี ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต
วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมย ยกชุดกอล์ฟของผม ไปสองชุด ราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า "ของที่หาย เป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็น สำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"
เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้ มากมาย
เป็นต้นว่า "สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่า เราจะเลือกหยิบ เลือกคว้าอะไร"
คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้า แต่ความสุข
ช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชาย ขับรถพาเที่ยว ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วย ตลอดเวลา
เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือน สุดท้ายของชีวิต ต้องนอนโรงพยาบาล สามวัน นอนบ้านสี่วัน สลับกันไป
เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูก รวมทั้งผมด้วย ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกัน ไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาทีที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ จากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตา ไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"
พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่า ทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลัง ใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"
เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คน ไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้ หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถ ถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ ขับวนรอบหมู่บ้าน เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงิน ตามมิเตอร์ !
4 เดือนสุดท้ายของชีวิต แพทย์ที่รักษาโรคไตมา ตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น
จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัว ในโรงพยาบาลให้แข็งแรง แล้วค่อยกลับบ้าน
แต่อยู่ได้แค่ 4 วัน เขาวิงวอนหมอว่า ขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปี ไม่ยอม
เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า "ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่า คนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงาน หมอก็กลับบ้าน"
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจ ตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะ ของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียว คือ กะพริบตา แต่แพทย์บอกว่า สมองของเขายังดีมาก
เวลาลูกเมียพูดคุยด้วย ต้องบอกว่า "ถ้าได้ยิน พ่อกะพริบตาสองที"
เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็นแล้วทั้งดีใจ และใจหาย
เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่า ถูกขังในร่างของตนเอง
สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"
เขาไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สองเดือน เคยตอบว่า "สู้"
เขาสู้กับสารพัดโรค ด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า "คุณลุงแกสู้จริงๆ"
ตอนที่วางดอกไม้จันทน์
ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูก เมื่อสี่เดือนก่อนว่า
"โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจ ของเราไปด้วย"
แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป
สอนให้เรารู้ว่า…
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์
ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกาย และจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้ อย่างที่สมองสั่ง
จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่น อย่างพอเพียง และดำรงชีวิต อย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ
หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด… อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกาย ที่จะลุกในทันที แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ถ้าเราเรียนรู้…ก็จะทำให้เราพบว่า
เจ็บ ทำให้
การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
พิษณุ นิลกลัด