Attention!

อ่านก่อนนะ >> "กาลามสูตร" -- จะได้มีสติระวัง ไม่เผลอพลั้งหลงป่าเวลาอ่านบล็อกนี้ (^_^)

Tuesday, September 4, 2018

Soft skills

วันนี้ตลาดแรงงานบอกว่าต้องการ soft skills จากคนรุ่นใหม่ เด็กรุ่นใหม่ที่กำลังจะออกไปสู่โลกของการทำงาน

แล้ว soft skills คืออะไร

ก่อนจะพูดถึง soft skills ก็อาจจะต้องรู้จัก hard skills ก่อน hard skills คือทักษะเฉพาะด้าน ทำโจทย์คณิตศาสตร์ เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ว่ายน้ำ ขับรถ รู้เรื่องประวัติศาสตร์ ใช้ภาษาอังกฤษได้ เหล่านี้คือ hard skills คือทักษะเฉพาะด้าน

ส่วน soft skills คือทักษะเกี่ยวกับมนุษย์ เช่นความอดทน ความสามารถในการสื่อสาร การเข้าสังคม การพูดในที่สาธารณะ ความเป็นผู้นำ การจัดการความขัดแย้ง การบริหารเวลา ฯลฯ ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างราบรื่น หรือทำงานกับผู้คนได้ดี

เรานึกถึงหลายๆ คนที่มี hard skills เฉพาะทาง เช่นอัจฉริยะทางดนตรี แต่เป็นคนที่โกรธเกรี้ยวหรือหน้าตาบูดบึ้งตลอดเวลา ไม่มีใครอยากคบไม่มีใครอยากคุยด้วย หรืออย่างเบาๆ ก็เช่นบางคนมีความรู้ดีมาก แต่เมื่อออกไปนำเสนอหน้าห้องหน้าชั้น กลับพูดจาวกวนไม่รู้เรื่อง หรือสั่นตะกุกตะกัก พูดไม่ออก หรือบางคนเข้าวงไหนวงแตกตรงนั้น นั่นคือเขาขาด soft skills ด้านการสื่อสาร หรือโปรแกรมเมอร์หลายๆ คนที่สื่อสารกับเครื่องจักรได้ง่ายกว่ากับมนุษย์ด้วยกัน

สำหรับการศึกษาในประเทศไทย เราเน้นไปที่ hard skills คือองค์ความรู้ตามสาระวิชาการกัน แต่อาจจะละเลย soft skills หลายๆ ด้านไป ซึ่งจริงๆ แล้วเมื่อเปิดดูตัวชี้วัดหลักสูตร ก็จะพบ soft skills อยู่ด้วย เช่นการทำงานกลุ่ม ความสัมพันธ์ในชั้นเรียน ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ...แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ เพราะไม่ได้ใช้สอบ ตราบใดที่เราตอบข้อสอบได้ว่าประติชญาวิเศษณ์คืออะไร ถึงแม้เราจะพูดจาวกวนไม่เป็นภาษาคน แต่เราก็สามารถได้เกรด 4 ในวิชาภาษาไทยได้

ดังนั้นเราแทบไม่ได้ฝึกฝน soft skills กันอย่างเป็นรูปธรรมเลย มีแต่บอกลอยๆ ว่าเธอต้องพูดให้รู้เรื่องนะ เธอต้องเป็นคนดีนะ เธอต้องหัดบริหารเวลานะ ...แต่ไม่มีเครื่องมือในการสอน ไม่มีพื้นที่ให้เด็กได้ฝึกฝน ได้สร้างทักษะเหล่านี้ขึ้นมา เพราะไม่รู้จะเอาเวลาตรงไหนไปใช้แล้ว แค่นี้ก็เรียนกันเต็มแล้ว ไหนจะต้องเรียนพิเศษ ไหนจะต้องเล่นเกม ไหนจะต้องดูซีรี่ส์เกาหลีอีก หรือบางบ้านก็ต้องมีดนตรี กีฬา แล้วนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงอีก

เวลาสำหรับการฝึกฝน soft skills อยู่ตรงไหน

และเมื่อไม่เคยฝึก ไม่มีเครื่องมือในการฝึก ไม่ได้แปลความทักษะแต่ละอย่างนี้เป็นรูปธรรมด้วยซ้ำไปว่าแต่ละทักษะหมายถึงอะไรกันแน่ ประกอบด้วยอะไรบ้าง และได้มาด้วยวิธีใดบ้าง แล้วเราจะคาดหวังให้เด็กมีทักษะเหล่านี้ได้อย่างไร

ใครได้ฝึกได้เรียนได้ใช้ทำได้ทำเป็น ก็จะมีทักษะเหล่านี้ ส่วนคนไม่ได้ฝึกก็ไม่มี เหมือนเรียนว่ายน้ำ คนเคยหัดว่ายน้ำก็ว่ายน้ำเป็น คนไม่เคยฝึกหัดมา ไปลงน้ำก็จมเท่านั้น และทักษะ soft skills เหล่านี้ บางทักษะ บางชนิดสอดคล้องกับพัฒนาการบางช่วงวัย ฝึกตั้งแต่เด็กๆ ก็ได้ผลดี แต่เมื่อโตไป ก็กลายเป็นไม้แก่ดัดยาก ถึงจะอยากฝึก ก็อาจจะยาก หรือต้องใช้เวลาหลายๆ ปีถึงจะทำได้คล่องทำได้ดี ...ซึ่งเรื่องนี้ตลาดแรงงานเขาก็บอกมาเลยว่าเขาอยากให้เด็กจบใหม่ออกไปทำงานนี่มีทักษะเหล่านี้เลย สื่อสารได้เลย มีความเป็นผู้นำเลย บริหารความขัดแย้งได้เลย ไม่ใช่ต้องรอฝึกไปอีกสิบยี่สิบปีแล้ว

นอกจากนี้ก็มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประสบความสำเร็จในชีวิตในระยะยาว ก็เกิดจาก soft skills เช่นกัน เช่นการมี grit หรือความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายระยะยาว หรือกระทั่งการมี EF (ที่ว่าได้จากการทำงานบ้านในวัยเด็ก) ก็เป็นฐานในการสร้าง soft skills ในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน

สุดท้ายคือ soft skills ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะหรือพรสวรรค์ครับ แต่เป็นสิ่งที่ฝึกให้มีขึ้นได้ แต่ก็ต้องมีการฝึกที่เป็นรูปธรรม ซึ่งใช้ทั้งกระบวนการและเวลา ต้องผ่านการฝึกฝนทำบ่อยๆ จนกลายเป็นทักษะ ไม่ใช่ว่ารอไปเรียนในมหาวิทยาลัยหรือรอเรียนจบแล้วค่อยไปฝึก (เอาเอง) ในบริษัทได้

Wednesday, March 28, 2018

ใครไม่อยากตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ โปรดทำความเข้าใจวิธีดื่มน้ำค่ะ สังเกตุไหมถ้าดื่มน้ำมากจนปัสสาวะใส...

ใครไม่อยากตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ โปรดทำความเข้าใจวิธีดื่มน้ำค่ะ สังเกตุไหมถ้าดื่มน้ำมากจนปัสสาวะใส ปัสสาวะบ่อยเรามักรู้สึกเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ
****************************************
มาดื่มน้ำ และ ปัสสาวะอย่างคนมีความรู้กัน By นพ.อิทธิฤทธิ์

ปัญหาคนยุคนี้ คือ ดื่มน้ำมากเกินไป เป็นเพราะการรณรงค์เรื่อง ดื่มน้ำมากๆ และการขาดความรู้ ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา

วันนี้ขอให้ความรู้กัน จะได้ดื่มน้ำ-ปัสสาวะอย่างผู้มีความรู้

อ่านแยกกันนะครับ ไม่ได้อ่านติดกัน

1. ปัสสาวะเป็นผลจากการกรองเลือดของไต เพื่อนำเอาของเสียหลักคือ ยูเรีย ออกจากเลือด รวมถึงปริมาณน้ำส่วนเกิน

2. ปกติการดื่มน้ำเข้าไป ร่างกายจะกำจัดทิ้งได้หมดประมาณ 4 ชม.

3. การดื่มน้ำที่เหมาะสม คือ ให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเหมาะสม ถ้าได้น้อยไปจะเรียก dehydration

4. วิธีดูว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่ ต้องเอาปัสสาวะมาวัดความถ่วงจำเพาะ หรือ specific gravity ซึ่งในชีวิตประจำวันคงไม่สามารถทำได้

5. ดังนั้นการดูแบบอ้อมๆ ( Indirect ) คือ การดูสีปัสสาวะ ต้องไม่ใส(น้ำเยอะไป) หรือเหลืองเข้ม (ขาดน้ำ)

6. ปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อวันแบบคร่าวๆ คือ น้ำหนักตัว คูณ 30 เช่น ถ้าหนัก 60 กก. น้ำควรได้ประมาณ 1,800 cc / วัน แปลว่า ถ้าคนน้ำหนักตัวเท่านี้ ดื่มน้ำเกินนี้ แปลว่าดื่มน้ำมากเกินไป

7. ถ้าออกกำลังกาย ต้องดื่มน้ำมากกว่านี้ ปริมาณเท่าไหร่? ให้ดูสีปัสสาวะเป็นหลัก

8. กลางคืน “ต้อง” ให้ไตได้พัก ไม่ใช่ดื่มน้ำมากๆก่อนนอน ไตเป็นเหมือนเครื่องกรองน้ำ ถ้าเครื่องกรองน้ำทำงานหนัก ต้องเปลี่ยนไส้กรอง แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ไม่มีไส้กรองให้เปลี่ยน แปลว่าไตจะแย่ลง

9. สีปัสสาวะตอนนี้ มันเป็นผลเมื่อ 3-4 ชม.ก่อน เช่น กลับบ้านเข้าห้องน้ำ เห็นปัสสาวะเข้มมาก แปลว่าเมื่อ 3-4 ชม.ก่อนดื่มน้ำน้อยไป

10. อย่าดื่มน้ำเกินครั้งละ 500 cc ต้องระวังปัญหาเกลือแร่โซเดียมในเลือดเสียสมดุล ซึ่งทำให้สมองบวม เกิดความมึนงง และถ้ามากเกินไปอาจตายได้

11. ถ้ารู้สึกว่าปัสสาวะเข้มแบบขาดน้ำ ใจเย็นๆ แก้ร่างกายขาดน้ำด้วยการ ให้ทยอยๆดื่มน้ำในช่วง 30 นาที อย่าอัดน้ำมากๆครั้งเดียว

12. ปริมาณน้ำขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการ คือ ประมาณ 60 cc / ชม.

13. แปลว่าตอนเช้า ควรต้องดื่มน้ำ 60 cc x 8 ชม. = 480 cc (หมายถึง ช่วงกลางคืนทั้งคืนที่ไม่ได้ดื่มน้ำ)

14. แต่..... ตื่นเช้าแล้วอย่าดื่มรวดเดียว ให้ทยอยดื่มในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ไม่ต้องรีบร้อน

15. ถ้าคิดจะไปไหน แล้วไม่อยากปวดปัสสาวะระหว่างเดินทาง คำนวณเวลาดื่มน้ำให้ดี

16. ก่อนนอน 3 - 3.5 ชม. ต้องแทบไม่ดื่มน้ำ เพื่อว่าให้ร่างกายได้เคลียร์น้ำรอบสุดท้ายก่อนนอนให้หมด กลางคืนจะได้หลับรวดทั้งคืน

17. ตย. ถ้าต้องการนอน 5 ทุ่ม ประมาณ 2 ทุ่มสามารถดื่มน้ำเยอะหน่อยได้เป็นครั้งสุดท้าย

18. ระหว่าง 3 – 3.5 ชม.ก่อนนอนนั้น ให้ดื่มน้ำไม่เกิน 100 cc

19. คนทั่วไปดื่มน้ำเยอะ หรือดื่มนมก่อนนอน ทำให้ต้องตื่นมาตอนตี 2 ตี 3 และกลับไปนอนต่ออีกครั้งยาก ตาโพลง

20. กระเพาะปัสสาวะเมื่อมีความจุประมาณ 100 cc ก็จะเริ่มปวดปัสสาวะแล้ว เลยเป็นเหตุผลว่า ในช่วง 3 ชม.ก่อนนอน ดื่มน้ำได้นิดหน่อยเท่านั้น เพื่อจะได้หลับยาวทั้งคืน

21. ในผู้หญิง ท่อปัสสาวะมีความยาว 4 ซม. ซึ่งเชื้อแบคทีเรียตามปกติสามารถเดินทางเข้าไปได้ง่าย

22. แปลว่า ทุก 3-4 ชม. ปวดปัสสาวะหรือไม่ ก็ต้องเข้าห้องน้ำเพื่อเคลียร์ปัสสาวะทิ้ง ก่อนที่เชื้อโรคจะเติบโตมากเกินไป แล้วจะกลายเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

23. วิธีดูง่ายๆว่า ดื่มน้ำพอไหม คือ ประมาณ 3-4 ชม.จะต้องปวดปัสสาวะ

24. ถ้าปัสสาวะเร็วกว่า 3 ชม. อาจดื่มน้ำมากไป หากเกิน 4 ชม.แล้วยังไม่ปวดปัสสาวะ น่าจะดื่มน้ำน้อยไป

25. ปริมาณน้ำที่ดื่มต้องลดลง ถ้ากินอาหารที่มีน้ำๆ หรือผักผลไม้ฉ่ำน้ำ มิฉะนั้นจะได้รับน้ำมากเกินไป

เพจ Dad Mom and Kids เพื่อครอบครัวที่มีความสุขกว่าเดิม

Sunday, January 7, 2018

ต้มยาแก้ อัลไซเมอร์

วันวาน ไปร้านยาจีน แถวศิริราชมา เห็นหญิงคนหนึ่งมาซื้อ เกสรบัวหลวง กับ มะตูมแห้ง ด้วยความอยากรู้...
เลยถามเธอว่า "เอาไปทำไร“
เธอตอบว่า "เอาไปต้มยาแก้ อัลไซเมอร์"
ถามเธอว่า 'ได้ผลไม๊"
เธอว่า "ได้ผลดีมากค่ะ คุณยายอายุ 90 กว่าแล้ว มีอาการ อัลไซเมอร์ แล้วไปได้สูตรยานี้ มาจากฝรั่งท่านหนึ่ง เขาบอกมาเป็นวิทยาทาน เพราะเขาได้สูตรมา แล้วก็หายเหมือนกัน" หลังจากทานแล้ว ความจำดีมาก จำได้หมด
ถามว่า แล้วต้องทาน ตลอดไปป่าว
เธอบอกว่าไม่ต้อง พอหายดีขึ้นแล้วก็หยุด พอเป็นใหม่ก็ทานใหม่

สูตรดังกล่าวมีดังนี้...

1. เกสรดอกบัวหลวง 1 หยิบมือ
2. มะตูมแห้ง 3 แว่น
(หากเอาไปคั่ว ในกระทะ หรือ ปิ้งจะหอมยิ่งขึ้น)
3. ตะไคร้สด 3 ต้น ถามเขาว่า ตะไคร้แห้งได้ไหม กรณีคนไม่มีต้นตะไคร้ เธอบอกว่าคงได้ แต่สู้ตะไคร้สดๆ ไม่ได้...
(ใครอยากใส่ใบเตย ไปด้วยก็ได้ 3 ใบ)
4. น้ำ 1 ลิตร ต้มด้วยกัน จนน้ำมะตูมบานออกก็พอ
แล้วดื่มวันละ 1 แก้ว

ใครเริ่มหลงลืม หรือมีญาติเป็น อัลไซเมอร์ ทดลองต้มดื่มดูครับ ไม่มีอันตราย เพราะเป็นสมุนไพรจากธรรมชาติ...
ถ้ารสชาดดี ทำแบบเจอจาง ไว้รับรองแขกก็ได้นะครับ...
ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ...

(Cr. แหล่งข้อมูลที่มา คุณสุพลชัย วัฒนชัยกุลวงศ์)
ที่มา : Narinsita Narinsita Sansamart
>< เพจ.. เคล็ดลับแสนดี~*

อาบน้ำด้วยสบู่เหลว ตายเร็ว!!

ถ้าคุณชอบอาบน้ำด้วยสบู่เหลวละก้อ ควรอ่านบทความนี้...  เดี๋ยวนี้สบู่เหลวได้รับ ความนิยมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบายเป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่  แต่เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย  เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจนผสมกับสารเคมีสังเคราะห์อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอกหรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง  จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก ที่ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้น

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันที แต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนัง อวัยวะ ภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือโซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วนผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและอเมริกามีกฏหมายห้ามใช้ แล้วและบางประเทศก็จำกัดให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาว หากยิ่งมีการใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด

เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือจางกว่าเท่านั้น แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ข้อมูลจากวารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ  กิตสุนี รุจิชานันทกุล  มูลนิธิ โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 413/38  ถ.อรุณ อัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 โทร.  02-424-5768