Attention!

อ่านก่อนนะ >> "กาลามสูตร" -- จะได้มีสติระวัง ไม่เผลอพลั้งหลงป่าเวลาอ่านบล็อกนี้ (^_^)

Monday, October 31, 2016

RT นนนที #LINE

RT นนนที #LINE
http://someone-said.blogspot.com/2016/10/blog-post_31.html

เรื่องงาน "กฐินไม่สามัคคี"

มีคนอยากให้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การทอดกฐินประจำปี พ.ศ. 2559 นี้ที่มีความพิเศษผมจึงขอสรุปเหตุการณ์มาให้เพื่อนๆ พวกเราได้ทราบถึงกระบวนการของวัดจานบินที่กำลังจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อหาแนวร่วมและแอบอ้างสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองและพวกพ้อง

ในปีนี้ผมและครอบครัวได้ตั้งใจที่จะไปทอดกฐินยังวัดเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือโดยการขอเป็นเจ้าภาพกฐินนี้ได้ตกลงแจ้งมาทางวัดไว้แล้วเป็นเวลากว่าปีแล้วโดยทางคณะของเรานั้น ก็ได้ดำเนินการจัดเตรียมซอง บอกบุญ รวบรวมปัจจัยตามที่ดำเนินการมาเป็นปรกติมากว่า 10 ปีที่ได้มีโอกาสทำกฐินตามที่ต่างๆทั่วประเทศไทยเป็นประจำ

ประมาณหนึ่งวันก่อนกำหนดการทอดกฐินก็ได้รับทราบจากกรรมการวัดว่ามีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้าน (ที่มีลูกไปเข้าเป็นสาวกวัดจานบิน) แจ้งความจำนงว่าจะขอมาร่วมทำบุญด้วยทางเราด้วย ทางคณะก็ไม่ขัดข้องและยินดีที่จะให้มาร่วมบุญด้วยกัน

ในเย็นก่อนวันทอดกฐิน ซึ่งตามธรรมเนียมจะมีการฉลององค์กฐินที่วัดเมื่อคณะเจ้าภาพคือพวกเรามาถึงวัดก็ต้องตกใจ เพราะมีแผ่นป้ายไวนิลโฆษณาขนาดใหญ่มากติดอยู่ที่บริเวณผนังศาลาวัดด้านหนึ่งแจ้งว่างานกฐินคราวนี้สนับสนุนโดยโครงการกฐินสามัคคีทั่วไทยโดยพระเดชพระคุณสมีแทมมี่ของวัดจานบินเป็นเจ้าภาพและเรามาเป็นเจ้าภาพร่วม!!

ภายในบริเวณที่จัดองค์กฐินก็เต็มไปด้วยของ กิมมิกและดิสเพลย์ของวัดจานบิน อย่างเนืองแน่นเต็ม ศาลาไปหมด เรียกว่าเมื่อเห็นแล้วก็อึ้งไปเลยและทำอะไรไม่ถูกเพราะเราไม่คิดว่าทางกลุ่มจานบินจะใช้โอกาสนี้มาโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง และลากพวกเราเข้ามา "สามัคคี" กับกลุ่มตัวเองด้วย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่แจ้งกับทางวัดตอนแรกว่าจะมาร่วมทำบุญเฉยๆ เสมือนว่าวัดจานบินและคณะกำลังมาเทคโอเวอร์งานกฐินที่เรากำลังจะทำอยู่

คืนวันนั้นเองก็ได้รับทราบข่าวจากพี่สาวที่เคารพนับถือกันว่าเธอและครอบครัวได้ทำการทอดกฐิน ณ. วัดอีกแห่งในภาคอีสานในตอนกลางวันวันนั้น ก็ประสบกับปัญหาแบบเดียวกันโดยที่มีคณะวัดจานบินเข้ามาขอร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยแล้วก็มาวุ่นวายจัดแจงให้คณะเจ้าภาพหลักเดินถือป้ายแห่หน้าองค์กฐินว่าเป็นงานของวัดจานบินโดยปริยายเพื่อถ่ายรูปในมุมต่างๆแล้วนำภาพโฆษณา เหล่านั้นไปใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ คงกะจะเอาพวกเราไปเป็นแนวร่วมของวัดจานบินอีกทางหนึ่ง

เมื่อทราบข่าวจากพี่สาวท่านนี้แล้วก็ยิ่งแน่ใจว่าพวกนี้ทำกันเป็นขบวนการ มีการจัดตั้งเตรียมการมาอย่างดี จึงตัดสินใจทันทีว่าเราจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับคนพวกนี้เราไม่ต้องการให้คนพวกนี้มาใช้งานบุญที่เราตั้งใจทำ มาแอบอ้างหาความชอบธรรมให้พวกเขาเองและเหนืออื่นใดเราไม่อยากให้เงินบาปของคนพวกนี้มาแปดเปื้อนในกองบุญที่เราหามาด้วยศรัทธาและความสุจริต

ผมจึงยื่นข้อเสนอไปที่วัดทั้งหมด 3 ข้อหากไม่ได้ทั้ง 3 ข้อนี้เราจะยกคณะกลับกรุงเทพทันทในวันรุ่งขึ้นคือ
ข้อที่ 1 คือห้ามมีป้ายโฆษณาผ้าไวนิวป้ายแสดงชื่อวัดจานบิน พวกป้ายที่ติดโฆษณาทุกอย่างจะต้องเอาออกให้หมด
ข้อที่ 2 คือห้ามคนของวัดจานบิน เข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายทำตัวเสมือนเป็นเจ้าภาพพิธีการเสียเองทั้งหมด
ข้อที่ 3 คือในระหว่างเดินฉลองกฐินรอบโบสถ์ห้ามคนของวัดจานบินมาเดินนำหน้า
ห้ามนำแผ่นภาพโฆษณามาไว้หน้ากองขบวนกฐิน และการถวายปัจจัยก็ต่างคนต่างถวาย เราจะไม่รวมเงินปัจจัยของคณะเรากับเงินปัจจัยของคณะจานบินเด็ดขาด

คืนนั้นคณะกรรมการวัดก็ประชุมกันเครียดจนถึงเที่ยงคืนและยอมตกลงตามข้อเรียกร้องทั้งสามประการ ถึงรุ่งเช้าคณะของเราจึงไปที่วัดตามที่ได้ตั้งเจตนารมณ์ไว้

เมื่อมาถึงที่วัด เด็กวัดจานบินที่เป็นคนชอบมาจุ้นจ้านตั้งแต่เมื่อคืนก็ทำทีจะเข้ามาวุ่นวายนุ่นนี่นั่นสั่งการต่างๆนานาอีกผมเลยส่งเลขาส่วนตัวเข้าไปสกัดดาวรุ่ง ให้นางจ๋อยไปเลย
เลขาของผมเข้าไปถามตรงๆเลยว่า

"ที่วัดนี้ก็มีมัคทายกของวัด พี่ไม่ต้องมายุ่ง สั่งให้ทำนู้นทำนี่ เดี๋ยวทางวัดเขาจัดการเอง"

คือคนพวกนี้ไม่ให้เกียรติเจ้าภาพ เจ้าของสถานที่เลย ทำตัวใหญ่กร่าง แล้วเข้ามาจัดแจง เจ้ากี้เจ้าการต่างๆ เมื่อไปถึงศาลาที่จัดพิธี พวกแผ่นภาพต่างๆก็ถูกเคลียร์ขจัดออกไปจนหมด โต๊ะที่จัด องค์กฐิน ก็ไม่มีภาพวัดจานบินกับชื่อสมีแทมมี่หลงเหลืออยู่อีก

เมื่อถึงเวลาจัดขบวนแห่รอบอุโบสถ คณะของพวกเราก็นำหน้า ส่วนทีมจานบินแปดเก้าคนก็ไปอยู่ต่อท้ายแถว มึงจะถือป้ายอะไรมึงก็ถือกันไปเอง ถือกันเอง ถ่ายรูปกันเอง เพื่อส่งรายงานเบิกเงินก็ทำไปกันเอง พวกกรูไม่เกี่ยว

แต่ที่สะใจที่สุดคือก่อนจะถวายกฐินมีการแสดงเทศนาธรรมโดยท่านรองเจ้าคณะตำบลซึ่งทางวัดนิมนต์มาจากวัดอื่นมาเป็นประธานในการรับกฐิน

ท่านเทศน์ดีมากๆ ท่านเทศนาเกี่ยวกับเรื่องหลักของการทำทาน ท่านบอกว่าทานที่ได้ผลนั้นจะต้องบริสุทธิ์ หามาด้วยความบริสุทธิ์และมีเจตนาที่สมบูรณ์ที่จะให้ทานและเมื่อให้ทานแล้วก็ไม่คิดเสียดายนึกระลึกย้อนถึงอีก

แต่ที่เด็ดสุดคือท่านพูดตรงๆต่อหน้าคณะของพวกจานบินเลยว่า
"..การทำบุญทำทานนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าทำมากหรือทำน้อยแต่ต้องขึ้นกับเจตนาเป็นสำคัญ
...ใครที่พูดว่าทำมากแล้วได้มากจะได้สวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ พวกนี้นั้นเรียกว่า
พวกตอแหล!!!..."
เรานั่งอยู่ด้านหน้า ในฐานะประธาน ออกเสียง
"สาธุ" เสียงดังลั่นศาลาเลย
พอถึงเวลาคณะเราก็ถวายเงินกฐินที่รวบรวมมาได้เรียบร้อย ก็ประเคนถวายท่านเจ้าอาวาสตามธรรมเนียมและแจ้งยอดให้กับมัคทายกวัดทราบ
พวกจานบินซึ่งจัดมาเป็นขบวนการเลย มีหญิงคนหนึ่งจากคณะซึ่งไม่เคยเห็นหน้าเลยในหมู่บ้านมาก่อน มาถึงก็มาจัดแจงคว้าไมค์มาอ่านโพยที่เตรียมมาเป็นอย่างดี ส่วนอีกคนก็มาทำท่าจะมาถ่ายรูปซึ่งจะติดภาพเรากับคณะเพื่อนๆเข้าไปด้วย
เรารีบตะโกนบอกไปเลยว่า ไม่ต้องถ่ายภาพ ห้ามถ่าย ไม่อยากมีรูปด้วยโบกไม้โบกมือแสดงความรังเกียจอย่างชัดเจน

แล้วเธอก็มาอ่านโพยแจกแจงว่าพระเดชพระคุณสมีแทมมี่ มีดำริให้ทำกฐินสามัคคีทั่วโลกแจกเงินวัด 300 วัดทั่วประเทศไทย วัดละ 100,000 บาทเฉพาะในจังหวัดนี้ก็ 93 วัด เป็นมหากุศลจากวัดธรรมกลาย
บอกตรงๆว่าปรี๊ดขึ้นมาทันที เลยพูดเสียง
ดังๆขึ้นมาตรงนั้นให้ทายกทายิกาได้ยินทั่วกันทั้งศาลาว่า
"...เงินพวกนี้ก็เป็นเงินไม่บริสุทธิ์โกงเค้ามาทั้งนั้น มีคนตั้งเท่าไหร่แล้วที่ขายบ้านขายช่องขายรถขายที่ขายนาหน้ามืดตามัวมาหลงทำบุญกับวัดธรรมกลายแห่งนี้ ยังมีหน้ามาประกาศความดีของพวกตัว ช่างไม่มีความละอายแก่ใจบ้างเลย.."
พูดดังๆให้คนพวกนี้ได้ยินทั้งหมด นางโฆษกหญิงก็เสียงสั่นเครือแล้วก็เสียงเบาลงๆทุกทีจนตอนหลังมันหยุดพูดไปเอง หลังจากนั้นพวกนี้ก็จ๋อยไปเลยทั้งคณะแทบจะมุดศาลาหนี ได้แต่หลบหน้าหลบตาชาวบ้านที่มองมาเป็นจุดเดียว พวกชาวบ้านทั้งหมดที่อยู่ในศาลาก็ออกมาอยู่ข้างทางฝั่งเรา เข้าใจพวกเราดีและไม่มีใครเอากับพวกธรรมกลายเลย

ก็ข่าวความชั่ว ความเลวมันออกจะชัดแจ้งชัดเจน ทราบโดยทั่วกันเสียขนาดนี้แล้วใครไม่รู้คงโง่หรือไม่ก็บ้าอย่างหน้ามืดตามัวเต็มทีจึงยังยอมเป็นสาวกของคนพวกนี้อยู่ได้

มีแต่ศรัทธาแต่ปัญญาไม่มี

ถ้าใครมีโอกาสไปเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน ในงานกฐินปีนี้ก็อนุญาตให้นำไปใช้ได้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ

บอกแล้วว่า"..จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด.."
พวกเราต้องช่วยกันครับ ถึงเวลาแล้วที่ต้องลุกขึ้นมา ตะโกนบอกคนพวกนี้ว่า อะไรเป็นอะไรเราจะทนนิ่งทำตัวเป็นพลังเงียบต่อไปไม่ได้ถึงเวลาแล้วตอนนี้ที่ต้อง #ทำดีเพื่อพ่อครับ

หมายเหตุ: วัดในต่างจังหวัดโดยเฉพาะในชนบทที่ห่างไกลนั้นน่าสงสารมากเพราะขาดการสนับสนุน พวกเรายังควรที่จะให้การสนับสนุนอยู่แต่ในครั้งต่อๆไปควรจะระบุให้ชัดเจนเลยว่าถ้าเรามาทำเราขอไม่ทำสังฆกรรมร่วมกับคนจานบินพวกนี้
เพราะวัดหลายแห่งไม่มีทางเลือกจึงจำเป็นที่จะต้องรับเงินไม่บริสุทธิ์จากคนเหล่านี้
คณะสงฆ์นั้นบางครั้งปฏิเสธยากแต่ถ้าหากมีเจ้าภาพอยู่แล้วทางวัดสามารถจะแจ้งได้เลยว่าให้ติดต่อเจ้าภาพหลักเป็นสำคัญ

หากวัดรับมาเอง เราจะขอถอนตัวทันทีเราไม่ถือว่าเสียสัจจะด้วยครับ ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าคนพวกนี้น่ารังเกียจแค่ไหน
ผมถือว่าพวกเราต้องช่วยกันเผยแผ่ความคิดกระจายความเห็นถูกเห็นต้องออกไปว่าเราแสดงความรังเกียจและไม่ต้องการร่วม"..นานาสังวาส.."กับคนพวกนี้โดยขาด
เอวังมีด้วยประการฉะนี้แล...

Wednesday, October 19, 2016

ขอพูดอะไรแบบบ้านๆ นิดนึง ไม่ใส่ยศ ไม่ใส่ฐานะ ไม่ใส่ชนชั้น ไม่ใส่คำราชาศัพท์

ขอพูดอะไรแบบบ้านๆนิดนึง 
ไม่ใส่ยศ ไม่ใส่ฐานะ ไม่ใส่ชนชั้น 
ไม่ใส่คำราชาศัพท์ 
ผมอยากถามว่าคุณเห็นอะไรในคนๆนี้

  • พ่อเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 2 ขวบ 
  • พี่ชายเสียชีวิตตอนอายุ 19
  • ต้องทำงาน สังคมสงเคราะห์ รับภาระช่วยเหลือดูแลคนจำนวนมาก รวมถึงบริหารงาน ตั้งแต่อายุ 19 ต่อจากพี่ชาย
  • อายุ 20 ตาบอดข้างหนึ่งจากอุบัติเหตุ  ต้องทำงานด้วยตาข้างเดียวนับแต่ตอนนั้น
  • หัวใจเต้นผิดปรกติจากการติดเชื้อไมโครพลาสม่า จากการขึ้นไปทำงานทางเหนือ ส่งผลถึงสุขภาพปัจจุบัน
  • ทำงานหนักมากกก ทั้งๆที่มีเงินทองจากบรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มากมาย คนในครอบครัวก็ต้องทำงานหนักทุกคน ทั้งๆที่อยู่เฉยๆก็ไม่เดือดร้อน มีใช้ไป 100 ชาติด้วยซ้ำ 
  • ปัจจุบัน อายุ 89 ปี ไม่ได้เกษียณ ยังต้องทำงานทั้งที่ป่วย คู่ครองก็ป่วย ลูกสาวก็ป่วย ตอนนี้ยังอยู่ห้องพักฟื้นจากการผ่าตัดเนื้องอกด้วยซ้ำ จากการทำงานหนัก ญาติพี่น้องทุกคนไม่มีเวลาส่วนตัว  ต้องทำงานช่วยเหลือคนอื่น 
  • แต่ก็ยังมีคนด่า มีคนวิจารณ์ในทางเสียหาย ถูกใส่ร้าย ... 
  • พรุ่งนี้ คนๆนี้จะทำงานครบ 70 ปี บนเตียงผู้ป่วย ไม่ได้หยุด และยังต้องทำต่อไป ไม่มีวันเกษียณ

อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ
ผมทำงานแค่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
แถมหยุดเสาร์ อาทิตย์ มีเวลากินเที่ยวสบายใจ 
ทำมาไม่กี่ปีเอง ทำเพื่อตัวเองด้วยซ้ำ 

แต่บุคคลๆคนนี้ทำงานเพื่อคนอื่นมาแล้ว #70ปี ไม่มีวันหยุด ห้ามขาดห้ามลา 
สมควรตอบเแทนเค้าด้วยอะไร มีใครทำได้แบบคนผู้นี้บ้าง
เป็นเรา มีเงินขนาดนี้ เราจะทำแบบนี้ไหม ทำงานที่เพื่อคนอื่น จนตัวเองเดินไม่ได้...

9 มิถุนายน 2559
ขอกราบคนผู้นี้ 
ไม่ใช่ในฐานะที่เขาเป็นกษัตริย์ 
ไม่ใช่ในฐานะที่เขามีเชื้อเจ้า 
ไม่ใช่ในฐานะที่เขาร่ำรวย
ไม่ใช่เพราะเห็นเขากราบกัน 
แต่กราบแทบเท้าคนผู้นี้ 
ในฐานะที่เสียสละทำงานเพื่อคนอื่นมาแล้วถึง 70 ปี

#ทรงพระเจริญ 
ขอกราบอภัยหากมีการใช้คำที่ไม่บังควร

[RT Guythip Saraswatimonthon, Facebook (08-Jun'16)]

เล่าเรื่อง ในหลวง แบบเรียบง่าย

เล่าเรื่อง ในหลวง แบบเรียบง่าย
แต่มีมุมมองที่ชัดเจน ดีมาก ๆ ๆ ๆ
(มาจากไลน์เพื่อนนิเทศ แต่ไม่ทราบคนเขียน)
🙏🙏🙏

:::สูงสุดสู่สามัญ:::

หากปลดเปลื้องยศถาบรรดาศักดิ์....
แล้วพิจารณาผู้ชายคนนี้....อย่างคนธรรมดาสามัญทั่วไป เราจะเห็นอะไรบ้าง?

ผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่อายุแค่ 2 ขวบ โตมากับพี่สาว พี่ชาย.....ถูกเลี้ยงมาอย่างธรรมดาสามัญโดยแม่ที่เป็นอดีตเด็กกำพร้าด้วยเหมือนกัน...ผมเชื่อว่าเพราะแม่สามัญชนของเขานี่แหละ ที่หล่อหลอมเขาให้เป็นคนธรรมดามากกว่าสถานะที่มีคนหยิบยื่นมาให้

เขาใช้ชีวิตวัยเด็ก ท่ามกลางความผันผวนใหญ่หลวงทางการเมือง
พี่ชายเขาถูกผลักดันขึ้นมาให้เป็น "ผู้นำในเชิงสัญลักษณ์วัยเยาว์" ตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ โดยคณะทหารที่พึ่งปฏิวัติเสร็จสิ้นไปไม่นาน มีอำนาจเต็มที่ และต้องการอำนาจในการปกครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ
ครอบครัว ซิงเกิลมัม ต้องคอยประคับประคองลูกๆ ให้ก้าวผ่านระหกระเหินแห่งสมรภูมิชีวิต...

ผ่านไปได้ไม่นาน พี่ชายก็มาจากไปก่อนวัยอันควร...น้ำตายังไม่ทันเหือดแห้ง เขาก็ถูกผลักดันให้มารับภาระหนักหน่วงแทน ตั้งแต่อายุ 18
เขายอมรับอย่างไม่อายว่า ไม่เคยอยากได้ตำแหน่งนี้...อยากแต่จะเป็นน้องพี่เท่านั้น สุดท้ายเค้าก็สลัดทิ้ง"น้องชาย" ไว้เบื้องหลัง แล้วก้าวเข้าสู่สถานะผู้นำ พร้อมกับตั้งปณิธาณไว้ว่าจะทำหน้าที่ให้ได้ดีที่สุด ด้วยคุณธรรม

เวลาผ่านพ้นไป เขาริเริ่ม โครงการทดลอง มากมายหลายอย่าง
เริ่มต้นมันจากสวนรอบบ้านนี่แหละ บ้านของเขาเต็มไปด้วยแปลงทดลองทางการเกษตร, บ่อน้ำเพาะพันธุ์ปลา, ฟาร์มและคอกเล้าสัตว์ต่างๆ ราวกับชาวนาชาวไร่ เขาทดลองงานมากมาย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจนผู้อยู่ห่างไกลความเจริญ ช่างขัดแย้งกับสถานภาพของเขาอย่างยิ่ง

พวกเราเห็นเขาเดินทางดั้นด้น เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
บางครั้ง รถจิ๊ปของเขาฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างน่ากลัว
หลายครั้งผมนึกสงสัย ว่าเขาจะทำอย่างนั้นไปทำไม? ทำแล้วเขาได้อะไร? คนอย่างเขาไม่ต้องทำงานก็คงมีกินมีใช้ไปตลอดอยู่แล้ว...

ผมคิดว่าเขาดูจะเป็นคนที่ workaholic คนหนึ่งนะ เขาเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นๆ มากกว่าเพื่อตัวเขาเอง เขาดูตั้งใจมาก ตั้งใจที่จะสร้างคุณภาพชีวิตดีๆ ให้กับผู้คนมากมาย...

แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่บ้างานจนไม่สนใจเรื่องสำคัญอื่นๆ ในชีวิตนะ
เขาเป็นคนที่มีชีวิตหลากหลายมากทีเดียว
เขามีพรสวรรค์หลายเรื่อง เขาวาดภาพสีน้ำมัน และเขาเล่นดนตรีได้ดี ทั้งกีตาร์คลาสสิค เปียโน และแซกโซโฟน ในระดับแต่งเพลงขึ้นมาเองได้ เพลงสไตล์ Waltz ที่ฟังแล้วสร้างบรรยากาศน่ารื่นรมย์นี่คือ สไตล์โปรดของเขาหละ แถมแต่งมา ใครจะเอาไปเปิดก็ไม่เคยเรียกลิขสิทธิ์นะ เปิดฟังกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง...

เรื่องกีฬาก็ใช่ย่อย เขาเล่นแบดมินตันได้ดีระดับมีก๊วนของตัวเอง อยู่หลายปีเลย ยิ่งแข่งเรือใบนี่เก่งระดับแชมป์เชียวหละ แถมไปไกลระดับต่อเรือใบเองได้ด้วยนะ โคตรน่าทึ่ง

เรื่องแต่งตัว เขาก็ไม่ใช่ย่อย เขาเป็นผู้ชายที่ดูเท่ห์เลยหละ
แต่งตัวได้อย่างมีสไตล์มาตั้งแต่หนุ่มๆ โดยไม่เห็นต้องใช้ของแบรนด์เนมอะไรเลย แต่แม้จะเท่ห์ขนาดที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเอง ยังต้องแอบมองด้วยความชื่นชม แต่เค้าเป็นคนรักเดียวใจเดียวนะ เขาไม่เคยมีข่าวในทางเสียหายเรื่องผู้หญิงเลยแม้แต่นิดเดียว

เขาดูจะเป็นคนสมถะมาก ผมประหลาดใจตอนที่รู้ว่า เขาพาภรรยาไปฮันนีมูนที่หัวหิน มันช่างดูสามัญเสียจริง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของเขามักจะดูธรรมดาอย่างน่าฉงน ผมเคยเห็นห้องทำงานของเขา มันดูเหมือนชนชั้นกลางทั่วไปนี่แหละ กล้องที่ห้อยคอบ่อยๆ ใช้ก็รุ่นธรรมดาๆ มีไว้เพื่อถ่ายรูปมาทำงาน ไม่ได้เอาไว้อวดใคร แถมบางวันขับรถโซลูน่า เติมน้ำมันปาล์มซะอย่างนั้น

เขาดูจะไม่เคยปิดบังเลยนะ ว่าเขาเป็นคนประหยัดมากๆ
เหมือนกับที่เค้าไม่เคยปิดบังเลย ว่าเค้าเป็นคนรักแม่มากๆๆ
ทั้งๆ ที่ทำงานหนัก แต่เขาแบ่งเวลาไปทานข้าวกับแม่อาทิตย์ละ 5 วัน ได้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกละอายแก่ใจ เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้....

เวลาผ่านพ้นหลายฝนหนาว เขาดำรงตนตามทำนองคลองธรรมได้อย่างเคร่งครัด พัฒนาโครงการได้มากมายหลายพันโครงการ เขาเติบใหญ่เป็นผู้นำทางด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของสังคมอย่างเป็นธรรมชาติ รัฐบาลผลัดเปลี่ยนเวียนไปหลายต่อหลายคณะ สถานการณ์การเมืองระดับโลกก็ช่างเชี่ยวกราก แต่เขาก็ประคับประคองสถานการณ์บ้านเมืองให้ ยืนหยัดฝ่าฝันผ่านพ้นมาได้อย่างสง่างาม....

เขาเป็นห่วงบ้านเมืองมากนะ และไม่ชอบความรุนแรง
ผมยังจำได้ดีตอนที่มีพลเอก กับพลตรี ทะเลาะกัน แย่งกันจะเป็นนายก ตอนปี 2535 ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ทะเลาะกันหลายเดือน มีความสูญเสียมากมายในกรุงเทพ สุดท้ายก็เขานี่แหละ ที่เรียกทั้งคู่ไปไกล่เกลี่ย จนสถานการณ์สงบลงได้อย่างเฉียบพลัน

เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามากนะ และเขาก็ใช้ชีวิตได้คุ้มค่าอย่างน่าทึ่ง
เขาปกครองบ้านเมืองได้ตามอุดมคติ อย่างที่เขาเคยได้ลั่นสัจจะวาจาไว้เมื่อแรกเข้ามารับตำแหน่ง

...วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว แม้จะรู้ดีว่านี่คือสัจธรรมของโลก แต่ผมก็อดที่จะสะเทือนใจกับการจากไปของเขาไม่ได้...แม่น้ำราวกับจะหยุดไหลอย่างเฉียบพลัน...จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกคนก็รู้สึกกับเขาราวกับญาติผู้ใหญ่คนสนิทคนหนึ่ง...

...ผมเชื่อว่าเรื่องราวของเขา จะถูกจดจำเล่าขานเป็นตำนานไปอีกหลายชั่วอายุคน
ว่าครั้งหนึ่งบ้านเมืองของเรา เคยถูกปกครองโดยชายคนหนึ่ง ที่เริ่มต้นชีวิตด้วยความไม่พร้อม แต่ก็ก่อร่างสร้างตัวมาด้วยการอดทนทำงานหนักเพื่อผู้อื่น จนกลายมาเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย...

13 ตุลาคม 2559
ขอส่งเสด็จ สู่สวรรคาลัย

Saturday, October 15, 2016

หนังสือพิมพ์บ้านเมือง » ปาฏิหาริย์ก้อนเมฆพระพักตร์ในหลวง


http://www.banmuang.co.th/oldweb/2013/12/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%86%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B1/

Kingdom of Thailand: The body of His Majesty King Bhumibol Adulyadej, has passed away.

Kingdom of Thailand: The body of His Majesty King Bhumibol Adulyadej, has passed away. His Loving Soul is with us now.

With sad heart I write these words. I was told by sources close to His Majesty King Bhumibol Adulyadej that he passed away one hour ago, at about 1415 Thailand time. As I write these words, it has not yet been announced, but when you read these words, it will have been officially announced.

On one level, there is not much to say other than that one of the greatest leaders in history graced us for so long. He is the Father of Thailand. He was a champion of peace, freedom, and prosperity, and a good friend to America and to American people. His Majesty is loved by many Americans.

Americans normally do not like Kings, but King Bhumibol is a great exception. Those who studied him grew to respect him, then to like him, and finally to share in the love for the King of Kings. The love for His Majesty is so immense that it could fill the Gulf of Thailand.

Thais are among freest people on earth, thanks to His Majesty. He brought his millions of sons and daughters very far, and he taught lessons and brought inspiration to foreigners such as me.

He was a musician, and good, and his photography was excellent. Highly educated, he visited every corner of this great country, into the deepest jungles to help villagers, into the mountains, out to the islands, down the rivers. He went everywhere. His Majesty was a man of the people. He wanted to see with his own eyes, and he did.

Finally his body has worn out. We wish his body had lived to 110 but his body wore out. He spent it working for Thailand. But this is not the end. Only his body is gone. His Majesty is more alive now than ever before.

Now that he is free from the cage of flesh, his soul is alive and free to walk in every town and village, in every home, in every heart, all at once. I am alone but I feel him here beside me, looking over my shoulder. He is right here. He is with you, with me, with us.

It will be a great honor for Thai people around the world, and foreigners who love Thailand, to come together today, and remember his teachings on peace, self-reliance, freedom of religion, equality for women and for all. And to be like bamboo. Know when to stand strong, and when to bend with the winds that often challenge our roots. His Majesty always taught unity.

We must remember that His Majesty always taught peace and unity. Peace, unity, and compassion.

And now I will wear the black shirt, and mourn for his family, for all Thais around the world. But also rejoice that His Majesty the King is free from suffering, and is now everywhere at once, a free soul bringing love, peace, and unity, to every heart he touched, and the unborn hearts he will touch in the future.

Should we cry that his body is gone, or celebrate that he lived and remains with us? The answer is both. After period of a mourning, there should be a great celebration for his life and soul, and for all his millions of family around the world, including foreigners he touched.

Loved by millions, Rest in Peace, your Majesty King Bhumibol Adulyadej, Father of Thailand.

We love you.

Michael Yon
Chiang Mai, Kingdom of Thailand
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10153995235025665&id=207730000664

Friday, October 14, 2016

ในขบวนรถไฟ ขากลับจากทำงาน

ในขบวนรถไฟ ขากลับจากทำงาน
ผู้คนโดยสารค่อนข้างแน่น ทั้งนั่งและยืน
แต่ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์
คาดว่าคงรอฟังข่าวข่าวนึงอยู่เหมือนกัน

สักครู่นึง มีพี่ที่นั่งตรงข้าม ก้มดูโทรศัพท์
และเริ่มร้องไห้...
เราและคนที่เห็น ต่างก็ดูโทรศัพท์กันทันที

.. ประกาศจากสำนักพระราชวัง ฉบับนั้น
มันบีบหัวใจคนไทยเหลือเกิน
ทั้งพระมหากรุณาธิคุณ และ ความจงรักภักดี
แล้วหลายๆ คนบนรถไฟก็เริ่มก้มหน้าร้องไห้
น้ำตาไหล จมูกแดง เสียงสะอื้น ปนกัน

สักพัก มีพี่คนนึงยื่นมือไปจับมือป้าอีกคนที่กำลังร้อง
น้าสองคนที่ไม่รู้จักกัน ตบไหล่ปลอบใจกัน
กลุ่มคนหลายๆ วัย จับมือกันและร้องไห้
พี่ผู้ชายคอยยื่นกระดาษทิชชู่ให้แก่ทุกคนที่ร้องไห้เสียใจ
แม้แต่คุณป้าที่นั่งข้างเรา ก็ยื่นมือมาจับแขนเรา
พร้อมทั้งบอกเราว่า "ท่านเหนื่อยมามากแล้วลูก"
เราและป้าก็ต่างก้มหน้าสะอื้น
โดยที่ไม่รู้จักเลยว่าใครเป็นใคร เป็นคนที่ไหน

ในใจขณะที่กำลังเสียใจอยู่นั้น ก็คิดขึ้นได้ว่า มีคนตั้งเท่าไหร่พยายามจะทำให้คนไทยแตกแยก
แต่ 'พระองค์' เดียวนั้น สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยนั้น
หยิบยื่น 'ความอารี' ให้กันได้แบบนี้
พระองค์รักเรา เราต่างก็รักพระองค์สุดหัวใจ
ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นนั้น
มันทำให้เรา ส่งต่อ ความรักให้กันได้แบบที่เห็นนี้
เป็น 'ภาพที่แสนงดงาม' ภายใต้วันที่มืดมนนี้

หวังเพียงพระองค์ทรงได้ทอดพระเนตรว่า
คนไทยของพระองค์ทุกคน "รักพระองค์มากขนาดไหน"
เราทุกคนต่างรู้เต็มหัวใจ
ว่าเราต่างโชคดีอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่ได้อาศัยบนแผ่นดินนี้
มีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลก
ไม่ว่าจะมีชีวิตอีกกี่ครั้ง
ขอเป็นเศษดินเล็กๆ ใต้ฝ่าพระบาทเช่นนี้ ทุกชาติไป

รักพระองค์ ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย...
13 ตุลาคม 2559.

[RT Mk Mapace #Facebook]
https://www.facebook.com/Mkmapace/posts/1449462445083369

ขอพูดอะไรแบบบ้านๆนิดนึง

ขอพูดอะไรแบบบ้านๆนิดนึง
ไม่ใส่ยศ ไม่ใส่ฐานะ ไม่ใส่ชนชั้น
ไม่ใส่คำราชาศัพท์
ผมอยากถามว่าคุณเห็นอะไรในคนๆนี้

- พ่อเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 2 ขวบ
- พี่ชายเสียชีวิตตอนอายุ 19
- ต้องทำงาน สังคมสงเคราะห์ รับภาระช่วยเหลือดูแลคนจำนวนมาก รวมถึงบริหารงาน ตั้งแต่อายุ 19 ต่อจากพี่ชาย
- อายุ 20 ตาบอดข้างหนึ่งจากอุบัติเหตุ
ต้องทำงานด้วยตาข้างเดียวนับแต่ตอนนั้น
- หัวใจเต้นผิดปรกติจากการติดเชื้อไมโครพลาสม่า
จากการขึ้นไปทำงานทางเหนือ ส่งผลถึงสุขภาพปัจจุบัน
- ทำงานหนักมากกก ทั้งๆที่มีเงินทองจากบรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มากมาย คนในครอบครัวก็ต้องทำงานหนักทุกคน
ทั้งๆที่อยู่เฉยๆก็ไม่เดือดร้อน มีใช้ไป 100 ชาติด้วยซ้ำ
- ปัจจุบัน อายุ 89 ปี ไม่ได้เกษียณ ยังต้องทำงาน
ทั้งที่ป่วย คู่ครองก็ป่วย ลูกสาวก็ป่วย ตอนนี้ยังอยู่ห้องพักฟื้นจากการผ่าตัดเนื้องอกด้วยซ้ำ จากการทำงานหนัก ญาติพี่น้องทุกคนไม่มีเวลาส่วนตัว
ต้องทำงานช่วยเหลือคนอื่น
- แต่ก็ยังมีคนด่า มีคนวิจารณ์ในทางเสียหาย ถูกใส่ร้าย ...
- พรุ่งนี้ คนๆนี้จะทำงานครบ 70 ปี
บนเตียงผู้ป่วย ไม่ได้หยุด และยังต้องทำต่อไป ไม่มีวันเกษียณ

อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ
ผมทำงานแค่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
แถมหยุดเสาร์ อาทิตย์ มีเวลากินเที่ยวสบายใจ
ทำมาไม่กี่ปีเอง ทำเพื่อตัวเองด้วยซ้ำ

แต่บุคคลๆคนนี้ทำงานเพื่อคนอื่นมาแล้ว #70ปี ไม่มีวันหยุด ห้ามขาดห้ามลา
สมควรตอบเแทนเค้าด้วยอะไร มีใครทำได้แบบคนผู้นี้บ้าง
เป็นเรา มีเงินขนาดนี้ เราจะทำแบบนี้ไหม ทำงานที่เพื่อคนอื่น จนตัวเองเดินไม่ได้...

9 มิถุนายน 2559
ขอกราบคนผู้นี้
ไม่ใช่ในฐานะที่เขาเป็นกษัตริย์
ไม่ใช่ในฐานะที่เขามีเชื้อเจ้า
ไม่ใช่ในฐานะที่เขาร่ำรวย
ไม่ใช่เพราะเห็นเขากราบกัน
แต่กราบแทบเท้าคนผู้นี้
ในฐานะที่เสียสละทำงานเพื่อคนอื่นมาแล้วถึง 70 ปี

#ทรงพระเจริญ
ขอกราบอภัยหากมีการใช้คำที่ไม่บังควร

[RT guythip saraswatimonthon 08-Jun'16]
https://www.facebook.com/blackbirdandmistletoe/posts/625298600968042

Monday, October 10, 2016

เกมคิดดี

ฝากไว้คิด.อ่านดูนะ"การคิดบวก"ดีมากครับ☆เกมคิดดี☆

“ธนา เธียรอัจฉริยะ” ผู้บริหารดีแทคพูดเรื่อง “เกมคิดดี” ในงาน Ignite Thailand

“คิดดี-คิดบวก”

เขาเชื่อว่าฝึกได้

“ธนา” เล่าถึงทีมขายเคลื่อนที่ของบริษัท ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เงินเดือนน้อยที่สุดขององค์กร แต่ทำงานหนักที่สุด

แต่ปรากฏว่าน้องกลุ่มนี้เป็นคนที่มีพลังมาก ไม่เคยบ่น และเมื่อว่างจากการทำงานก็มีจิตสาธารณะไปช่วยชุมชนกวาดลานวัด

“ธนา” สงสัยมานาน ว่าทำไมคนกลุ่มนี้จึงมี “ทัศนคติ” ที่ดี

จนเมื่อเขาได้คลุกคลีกับน้องๆ กลุ่มนี้

“ธนา” จึงได้รู้จัก “เกมคิดดี”

เกมนี้น้องๆ จะเล่นกันเป็นประจำตอนพัก มีกติกาคือให้ทุกคนคิดถึงทุกอย่างในแง่ดี

หัวหน้าจะตั้งคำถาม

“แดดออกดีอย่างไร?”

น้องคนหนึ่งยกมือ
"ดีเพราะชาวบ้านจะมาที่ตลาด ทุกคนมารวมตัวกันที่เดียว ไม่ต้องไปขายไกลๆ"

“ฝนตกดีอย่างไร”

อีกคนหนึ่งตอบ “ฝนตก คนออกจากบ้านไม่ได้ เราจะมีโอกาสคุยกับลูกค้านานขึ้น”

“หมาเห่าดีอย่างไร”

คราวนี้เริ่มยาก ทุกคนหันไปมองหน้ากัน แล้วคนหนึ่งก็คิดได้

“เราจะไม่เจ็บคอตะโกนเรียก เพราะเจ้าของบ้านจะเดินออกมาเอง”

โหย…ใช้ได้

หา “มุมบวก” เก่งจริงๆ

“ธนา” เชื่อว่า “ทัศนคติ” เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต

หลักคิดของเขาก็คือ ถ้าเราไม่ชอบอะไรก็ตาม ให้พยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้ได้

แต่ถ้ายังเปลี่ยนไม่ได้ เราก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อสิ่งนั้น

“ธนา” เชื่อว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นเป็นทั้ง “พรสวรรค์” และ “พรแสวง”

ใครที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็ถือว่าเป็นคนโชคดี

แต่ถ้าใครไม่มีเรดาร์แบบนี้ติดตัวมา เขาก็เชื่อว่าสามารถฝึกฝนได้

แล้ว “ธนา” ก็เริ่มต้นเล่น “เกมคิดดี” บนรถกับลูกสาวทั้ง 2 คน

คนหนึ่งอายุ 7 ขวบ อีกคนอายุ 5 ขวบครึ่ง
เขาบอกลูกๆว่าลองคิดทุกอย่างในแง่บวก หา “ข้อดี” ของทุกเรื่องราวในชีวิตให้เจอ

ถามว่าอยู่ที่บ้านดีอย่างไร
“มีของเล่นเยอะ”

อยู่ที่โรงเรียนดีอย่างไร
“ได้เจอเพื่อน”

“แล้วรถติดดีอย่างไร”
คราวนี้ลูกสาวทั้ง 2 คนเริ่มโยเย เพราะแต่ละคนเบื่อสภาพรถติดมาก จะบ่นตลอดเวลา

“ไม่เห็นมีอะไรดีเลย” ลูกคนโตเริ่มโวย

“ไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเราเล่นเกมคิดดี” คุณพ่อไม่ยอม

ลูกสาวคนเล็กนั่งคิดอยู่แวบหนึ่งแล้วก็ยกมือ

“พ่อ หนูคิดออกแล้ว รถติดมีข้อดี เพราะพ่อจะได้หันหน้ามาคุยกับหนู”

น่ารักมาก…

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่รถติด ลูกสาวทั้ง 2 คน จะตะโกนลั่นรถ

“รถติดแล้ว คุณพ่อหันมาคุยหน่อย”

ลูกสาวของ “ธนา” ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนชื่อดังแถวชิดลม ซึ่งก็ไม่ไกลจากออฟฟิศของเขา อาคารจามจุรี สแควร์ ใกล้สวนลุมพินี

ตอนที่รู้ว่าลูกสอบติดที่ “มาแตร์” ด้านหนึ่งก็ดีใจ แต่ด้านหนึ่งก็ทุกข์ใจ เพราะต้องไปส่งลูกสาวทุกเช้า

จากเดิมตื่น 7 โมง ก็ต้องตื่นตี 5 ครึ่ง เพื่อไปส่งลูกให้ทันเข้าเรียน 7 โมง

สัปดาห์แรก “ธนา” ทุกข์หนัก และคิดในแง่ลบว่าชีวิตของเขาต้องเป็นอย่างนี้อีก 12 ปี เชียวหรือ

แต่เมื่อตั้งหลักได้ เขาก็เริ่ม “เกมคิดดี”

เขาใช้เวลาช่วงส่งลูกเสร็จ ก่อนเข้าทำงาน ไปวิ่งที่สวนลุมพินี

เช้าวันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทายเขา “ประเสริฐ” เป็นนักวิ่งระดับแข่งมาราธอน
เขาวิ่งทุกเช้าวันละ 40 นาที ระยะทาง 10 กิโลเมตร

“ตอนแรกผมวิ่งแค่ 300 เมตร ก็จะเป็นลม แต่ตอนนี้วิ่งทุกเช้ามา 4 ปีแล้ว”

“ธนา” เริ่มเอะใจ จึงถามถึงเหตุผลที่ “ประเสริฐ” หันมาวิ่ง

“ลูกสาวผมเรียนที่มาแตร์” เขาตอบ

“ลูกพี่อยู่ ป.4 ใช่ไหม” ธนาถาม

“ใช่” ประเสริฐทำหน้างงๆ “คุณธนารู้ได้ไง”

“ธนา” ไม่ได้เล่าต่อ

แต่เขาจบเรื่องเล่าบนเวทีด้วยการทำนายอนาคตตัวเอง
“ผมรู้แล้วว่าอีก 4 ปี ผมจะเป็นนักวิ่งมาราธอนแน่นอน”

นิทาน เรื่องนี้  สอนให้รู้ว่า  เราเปลี่ยน โลก  ไม่ได้  แต่  เราเปลี่ยน วิธีคิด  เราได้   มาฝึก คิดบวก กันเถอะ ครับ