Attention!

อ่านก่อนนะ >> "กาลามสูตร" -- จะได้มีสติระวัง ไม่เผลอพลั้งหลงป่าเวลาอ่านบล็อกนี้ (^_^)

Tuesday, February 21, 2017

19 สูตรยาอายุวัฒนะ แค่ผสม น้ำผึ้ง กินกับสิ่งต่อไปนี้..รับลองพิชิต108โรคได้จนคุณอึ้ง!!

19 สูตรยาอายุวัฒนะ แค่ผสม น้ำผึ้ง กินกับสิ่งต่อไปนี้..รับลองพิชิต108โรคได้จนคุณอึ้ง!!

ผลผลิตจากผึ้งที่มีคุณประโยชน์มหาศาล อันเป็นที่รู้กันดีทั่วโลกตั้งแต่สมัยบรรพกาลกระทั่งปัจจุบัน แม้คนที่ไม่รู้ว่าน้ำผึ้งมีประโยชน์มากเพียงใดก็ยังชื่นชอบที่จะรับประทานน้ำผึ้ง

เช่นผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้หลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอนยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่ได้พักผ่อนเต็มที่ และอีก 19 สูตรยาอายุวัฒนะ ต่อไปนี้เอาไปทำให้ถูกโรคตัวเองนะคะ

1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน

2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้

3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน

4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน

5 .ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ น้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร

7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน

8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน

9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว

10. เด็กแหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม

11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกมื้ออาหาร

12. ล้างแผลฝีหนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่เย็นแล้วล้างให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล

13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผล ไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง

14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน

15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรค ตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้งเป็น ประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ

18. เสียน้ำหรือเสียเลือด( 10-20 % ) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ถ้วย


แหล่งข้อมูล : http://www.247friend.net/blog/aorair/2013/10/06/entry-2
http://www.247friend.net/blog/aorair/2013/10/06/entry-2

Tuesday, February 14, 2017

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) มั่นใจว่าผู้ต่อต้านได้รับข้อมูลด้านเดียว และอีกส่วนหนึ่งถูกพวกเอ็นจีโอหลอกลวงด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ จึงขอให้ข้อมูลที่แท้จริงบ้าง
http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1825.htm

Thursday, February 9, 2017

🍵เรื่อง กาแฟโบราณ ใส่นม

🍵เรื่อง กาแฟโบราณ ใส่นม

กาแฟโบราณนั้น มีเอกลักษณ์ อยู่อย่างหนึ่งคือ จะใส่นมข้นหวาน ไว้ด้านล่าง แล้วเทน้ำกาแฟ ลงไปด้านบน ถ้าใครชอบหวานมาก ก็ตีนมด้านล่าง ให้ผสมกับเนื้อกาแฟ แต่บางคน ที่ไม่ชอบหวาน ก็อาจจะดื่ม โดยที่ไม่ต้องคนเลย

👳ทีนี้ เรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่ง คุณลุงคนหนึ่ง ก็ไปนั่งจิบกาแฟ ที่สภากาแฟ พอดีหลานสาว เจ้าของร้าน อยู่ในช่วงปิดเทอม จึงมาช่วยยาย ขายกาแฟ พอหลาน ยกกาแฟมาเสริฟ คุณลุงก็พูดขึ้นว่า นมน้อยจัง

👩หลานสาว ก็เขินอาย ตอบกลับไป เสียงเบาๆ ว่า เพิ่งขึ้นค่ะ

👵ยายได้ยินดังนั้น ก็ทุบโต๊ะดัง ปัง!! แล้วตะโกนว่า เพิ่งขึ้นที่ไหนกัน ขึ้นมาตั้ง สองเดือนแล้ว!!

สรุปว่า ลุงพูดถึง นมในแก้วกาแฟ ส่วนหลานสาวพูดถึง หน้าอกของตัวเอง ส่วนยายหมายถึง ราคานม ที่ปรับราคาขึ้น

เรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าขำๆ จากต่วยตูนที่เล่าต่อๆ กันมา แต่ในความตลกนั้น ถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่า

คนเราอาจพูดกัน คนละเรื่อง ทั้งๆ ที่ คิดว่า กำลังพูดเรื่องเดียวกัน ความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อน อาจเกิดจาก “สถานภาพที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่ง กำลังพิจารณา กาแฟในแก้ว อีกคนหนึ่ง กำลังกังวล เรื่องความเปลี่ยนแปลง ในร่างกาย ของตนเอง และอีกคนหนึ่ง กำลัง กังวล เรื่องกำไรขาดทุน

ดังนั้น ความเข้าใจผิด เกิดขึ้นได้ แม้จะ กำลังพูด ภาษาเดียวกัน นั่งพูดกัน ตัวต่อตัว และ ไม่มีใครมีเจตนา บิดเบือนข้อมูล นี่เป็นตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจผิด เกิดขึ้นได้ง่ายเพียงใด

การสื่อสารในกลุ่มเพื่อนๆ ก็เช่นเดียวกัน หากขาดความระมัดระวัง เราก็จะพูดกัน คนละเรื่อง และบางครั้งก็เกิดความน้อยใจออกจากกลุ่มไป ทั้งๆที่ทุกคนมีความปรารถนาดี และตั้งใจดีต่อกันนะจ้ะ

คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 เอเชีย สาเหตุเกิดจากการกินดังนี้...!?!?

คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 เอเชีย สาเหตุเกิดจากการกินดังนี้...!?!?
https://youtu.be/0G5Zqd1KsU0

Wednesday, February 8, 2017

เตือนภัย! สำหรับผู้ใช้แอปพลิเคชันแชท 'ไลน์'

เตือนภัย! สำหรับผู้ใช้แอปพลิเคชันแชท 'ไลน์'
แก๊งนักลบสมาชิกในไลน์กลุ่มระบาด เข้าไปแฝงตัว คอยตามลบกลุ่ม บ้างถูกว่าจ้างให้ป่วน บ้างเพื่อความสนุกสนานคึกคะนอง

อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/crime/378468825/
http://www.nationtv.tv/main/content/crime/378468825/

Wednesday, February 1, 2017

กระดูกจะพรุนหรือไม่พรุน อยู่ที่การเดินมากกว่ากินแคลเซี่ยม...

กระดูกจะพรุนหรือไม่พรุน อยู่ที่การเดินมากกว่ากินแคลเซี่ยม และต้องให้เดินเยอะๆตั้งแต่เด็กๆสะสมความแข็งแรงของกระดูกเหมือนคนญี่ปุ่น

มีเรื่องการเดินมาฝากกัน รับรองว่าถ้าอ่านจนจบ จะได้ครบทั้งความรู้และสุขภาพดีๆแบบเต็มที่แน่นอน

นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโมะ ผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาล 4 แห่งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรมตกแต่งและรักษาโรคมะเร็ง ได้เขียนหนังสือซึ่งเป็นผลงานระดับ Best sellerในญี่ปุ่นมาหลายเล่ม

และหนึ่งในนั้น มีบทหนึ่งที่ชื่อว่า “มาชดเชยแคลเซียมด้วยการเดินกันเถอะ” ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจและเหมาะกับผู้สูงวัย อยากขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้นะคะ

คุณหมอเล่าว่านักบินอวกาศที่ใช้ชีวิตอยู่ในยานอวกาศเป็นเวลานาน ทั้งที่กินแคลเซียมเป็นปริมาณมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แต่พอกลับถึงโลกก็ยังเป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เพราะไม่ได้ออกกำลังกายเนื่องจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลก เมื่อเป็นเช่นนั้น กระดูกจึงค่อยๆอ่อนแอลง

คุณหมอจึงแนะนำว่า ถ้าอยากทำให้กระดูกแข็งแรง ต้องเดินให้มากเป็นสองเท่าของคนทั่วไป เพราะแรงโน้มถ่วงจะทำให้กระดูกรับภาระหนัก แล้วปริมาณแคลเซียมในกระดูกก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นเองได้
ตามธรรมชาติ

ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงมีการพูดกันโดยทั่วไปว่า แคลเซียมจะลดน้อยลงตามอายุล่ะ?? คุณหมออธิบายเพิ่มเติมต่อดังนี้ค่ะ

แต่เดิมกระดูกเป็นเหมือนธนาคารซึ่งเก็บสะสมแคลเซียมเอาไว้ เมื่อแคลเซียมในเลือดลดลงก็จะนำแคลเซียมจากกระดูกมาใช้แทน และเมื่อผู้สูงวัยมีการเดินที่ไม่เพียงพอ กระดูกก็จะค่อยๆเปราะบางลง

ถึงแม้จะกินแคลเซียมมากเพียงใดก็จะไม่มีผลช่วยอะไรมากนัก เพราะปัจจัยหลักที่สำคัญคือ "ปริมาณการออกกำลังกาย" ที่ผู้สูงวัยมีลดน้อยลงถึงขนาดผู้สูงวัยบางรายในแต่ละวัน แทบไม่ได้มีการขยับตัวเลยนั่นเอง

นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงอีกด้วย เพราะเดิมทีฮอร์โมนเพศไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนเพศชายต่างก็มี “ฤทธิ์เสริมสร้าง” ทำให้กระดูกแข็งแรงและกล้ามเนื้อบึกบึน

สำหรับผู้ชายนั้น ถึงแม้จะใกล้วัย 80 ปี แต่ปริมาณฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตออกมาก็ไม่น้อยไปกว่าช่วงวัยรุ่น ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิงจะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี และจะหยุดผลิตเมื่อหมดประจำเดือนตอนอายุประมาณ 50 ปี

แน่นอนว่า...หากไม่มีฮอร์โมนเพศก็จะไม่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ธรรมชาติจึงจำเป็นต้องผลิตฮอร์โมนทดแทนขึ้นมา ชื่อว่า “แอนโดรเจน (Androgen)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตเพื่อชดเชยฮอร์โมนเพศหญิงในส่วนที่ขาด แต่แอนโดรเจนก็ไม่ได้มีปริมาณมากเพียงพอ กระดูกจึงไม่สามารถรักษาแคลเซียมเอาไว้ได้

นอกจากนั้น พวกเราผู้สูงวัยยังมีแนวโน้มที่จะเดินน้อยลงเรื่อยๆ
ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงยิ่งทำให้ขาดแคลเซียมมากขึ้นไปอีก ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวเข่าและสะโพก พอปวดแล้วก็จะยิ่งเดินน้อยลงเรื่อยๆจนถึงขั้นต้องนั่งรถเข็นซึ่งจะยิ่งเข้าสู่วงจรแย่ๆที่ทำให้เพื่อนๆยิ่งมีกระดูกอ่อนแอลงไปเรื่อยๆจนเกินแก้ไขค่ะ

ในทางกลับกัน ต่อให้เป็นวัยหนุ่มสาว หากนั่งทำงานอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ วันๆแทบไม่มีการขยับตัว แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมาปีนเขาใช้ขาอย่างหักโหมทันที ก็จะมีอาการปวดข้อปวดเข่า เพราะร่างกายไม่เคยชิน ดังนั้นเราจึงควรฝึกนิสัยรักการเดินให้เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ

คุณหมอโยะชิโนะริ นะงุโมะ มีอายุถึง 60 ปีแล้ว แต่อายุกระดูกที่ตรวจวัดได้ยังมีอายุเพียงแค่ 28 ปี ซึ่งอ่อนกว่าอายุจริงกว่า 30 ปี นั่นเป็นเพราะคุณหมอรักการเดินเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณหมอบอกว่าการเดินมากหรือน้อยในวัยเด็กสะสมมาจะมีผลอย่างยิ่งต่อระดับความรุนแรงของโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้นด้วยค่ะ

ดังนั้นพ่อแม่ที่โอ๋ลูกมาก ไม่ยอมให้ลูกได้เดินบ้างเพราะกลัวเหนื่อยหรือลำบากควรจะรีบเปลี่ยนความคิดใหม่นะคะ เพราะคุณหมอบอกว่า พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นจะฝึกให้ลูกเดินเยอะๆ ถ้าบ้านและโรงเรียนไม่ไกลจากกันมากนัก ก็จะใช้วิธีเดินไปกลับแทนการนั่งรถไฟฟ้า หรือขึ้นรถไฟฟ้าก็จะพยายามให้เด็กๆได้ยืนเพื่อฝึกกำลังขาและสะโพก เพราะการฝึกขาและสะโพกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็ก จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแรงของกระดูกเค้าไปตลอดชีวิตเลย